Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 16 มีดบิน
ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนต่างก็อิจฉาตาร้อน ตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญผู้นี้ก็หัวใจเต้นรัวเร็ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ อีกสี่คนเลย“มูลค่าสามพันศิลาปฐมโลกา มูลค่าสามพันศิลาปฐมโลกาเชียวนะ!” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ดวงตาแทบจะแดงก่ำอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีบุญคุณช่วยชีวิตเขา แต่เขาก็ยังมีแรงกระตุ้นในการฆ๋าคนชิงทรัพย์ชนิดหนึ่งอย่างแรงกล้า เพราะราคานี้เพียงพอที่จะทำให้เขาเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมาได้ แต่เขาก็มีมาตรฐานมาตลอด มิปรารถนาจะลงมือกับผู้มีบุญคุณช่วยชีวิต ต่อให้แรงกระตุ้นรุนแรงยิ่งกว่านี้ก็ต้องยับยั้งเอาไว้ สอง ต่อให้ลงมือเขาก็ไม่มีความมั่นใจเพราะเขารู้ตัวเองดีสามพันศิลาปฐมโลกา หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์และผู้บำเพ็ญอีกสี่คนหัวใจสั่นสะท้านนี่หมายความว่าอย่างไรกันสมบัติพิทักษ์วิถีดังเช่นน้ำเต้าสีดำนี้ มูลค่าก็เพียงแค่ห้าร้อยศิลาปฐมโลกาเท่านั้น! สามพันศิลาปฐมโลกาสามารถซื้อหาสมบัติพิทักษ์วิถีอันล้ำค่าที่ดีกว่าน้ำเต้าสีดำได้ ไม่ว่าจะเป็นพลังคุกคามหรือว่าพลังคุ้มกันชีวิตต่างก็สามารถยกระดับได้อย่างใหญ่หลวง พวกหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์หลายคนนี้ ถ้าหากซื้อสมบัติล้ำค่าที่แกร่งกว่าน้ำเต้าสีดำสักหนึ่งชิ้น นับแต่ขั้นอลวนลงไปก็ไร้ซึ่งศัตรูแล้วจริงๆถึงแม้ว่าจะไปซื้อสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดมาอย่างสุรุ่ยสุร่ายยิ่ง พลังยุทธ์ของสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดที่ซื้อมาด้วยราคาสามพันศิลาปฐมโลกาก็อยู่ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้เลยทีเดียว นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดยังมีข้อดีเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเป็นอย่างมากอีกด้วย… ดังเช่นมีร่างกายที่แข็งแกร่งจนแทบจะมิอาจบุบสลายได้ จงรักภักดีอย่างแท้จริง และยังทำงานอย่างอุตสาหะโดยไร้ซึ่งข้อแม้ นอกจากนี้ยังสามารถไปเลือกสรรสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดประเภทต่างๆ กันได้ตามใจชอบอีกด้วย มีพวกที่เชี่ยวชาญการหนีเอาชีวิตรอด และมีพวกที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด…ชายหนุ่มผู้องอาจ เงาร่างไอหมอกทะมึน และหญิงสาวอาภรณ์เทาต่างก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ไกลๆ คล้ายกับกำลังจ้องมองเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น“จุ๊ๆๆ… เขาช่างโชคดีเสียจริง เพียงแค่ชั้นที่หนึ่งของกรุขุมทรัพย์ก็ได้วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่เช่นนี้มาเสียแล้ว” ชายหนุ่มผู้องอาจหรี่ตาเล็กน้อย ประกายหนาวเหน็บวาบผ่านจางๆ “ข้าขบคิดดูแล้ว คิดว่าชั้นที่หนึ่งนี้ไม่คู่ควรให้พูดถึง ที่ให้ความสนใจหน่อยคือชั้นที่สอง ใครจะไปคิดว่าจะพลาดสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ไปเสียได้ ตอนนี้คิดอยากจะได้มาก็ต้องช่วงชิงจากมือของเขาแล้ว”หญิงสาวอาภรณ์เทาก็ดูมีท่าทีไม่ร้อนรนกลับกลายเป็นเงาร่างไอหมอกทะมึนนั้นที่บินทะยานมุ่งไปยังด้านล่างของบันไดมิติในทันใด เพราะแนวกั้นห้วงมิติได้พังทลายไปจนสิ้นแล้ว เงาร่างไอหมอกทะมึนนั้นก็บินทะยานลงมาถึงพื้นดินแทบจะในเวลาชั่วพริบตา แล้วเหยียบย่างลงบนบันไดมิติที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่“เขาจะลงมือแล้ว”บรรยากาศของห้วงมิติทั่วทั้งชั้นที่หนึ่งของกรุขุมทรัพย์นั้นเยือกแข็งอยู่บ้าง หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ ชายหนุ่มผู้องอาจ และหญิงสาวอาภรณ์เทามองดูฉากนี้เงียบๆ โดยมิได้สอดมือยุ่งเกี่ยว นี่ก็อยู่ในความคาดหมายของพวกเขาอยู่แล้ว สมบัติล้ำค่าภายในเจดีย์เทพขุมทรัพย์ก็มิใช่ว่าจะได้มาถึงมือโดยง่าย ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปก็ไม่สามารถเข้าสู่ชั้นที่สามได้ ปกติแล้วมีเพียงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้อยู่เพียงแค่สองชั้นแรกของกรุขุมทรัพย์ สามารถคว้าสมบัติล้ำค่ามูลค่าสามพันศิลาปฐมโลกามาได้ก็นับว่าโชคดีมากเป็นอย่างมากแล้วถึงแม้ว่าจะได้ไม้อสนีบาตสายทองนี้มาแล้วจากไปในทันที การมาที่กรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาในคราวนี้ก็คุ้มค่าแล้ว……ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บไม้อสนีบาตสายทองขึ้น เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ มองมาทางเขา สายตาของหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์มิได้มีความเป็นปฏิปักษ์แต่อย่างใดก็จริง แต่ก็มีความอิจฉาริษยาอันยากที่จะซ่อนเร้น ส่วนอีกสามคนที่เหลือนั้นต่างก็มีความเป็นปฏิปักษ์อย่างแรงกล้า“หึ ข้ามาเจดีย์เทพขุมทรัพย์ในคราวนี้ก็หวังว่าจะได้ไปเกินกว่าหมื่นศิลาปฐมโลกา เพื่อจะไปซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงได้สองดวง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้เพิ่งเข้ามาก็ได้รับ ‘ไม้อสนีบาตสายทอง’ อันล้ำค่ามาแล้ว ถ้าหากเข้าไปสู่ชั้นที่สอง ด้วยพลังยุทธ์ของข้าและถ้าโชคดีสักหน่อย บางทีอาจจะสามารถรวบรวมได้เกินหมื่นศิลาปฐมโลกาเสียอีก”“อยากจะชิงทรัพย์อย่างนั้นหรือ”ตงป๋อเสวี่ยอิงมองลงไปยังส่วนล่างสุดของบันไดมิติที่ตนอยู่ เงาร่างไอหมอกทะมึนนั้นก็พุ่งเข้ามาตามบันไดมิติ“มอบไม้อสนีบาตสายทองออกมาเสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง!” เงาร่างไอหมอกทะมึนพุ่งเข้ามาแต่น้ำเสียงแหลมเล็กกลับก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้วงมิติชั้นที่หนึ่ง น้ำเสียงบาดหูทำให้ห้วงมิติสั่นสะท้านน้อยๆ“นี่คือบันไดมิติของข้า เจ้าเดินผิดทางแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ถอยไปเสียตอนนี้ก็ยังจะสามารถรักษาชีวิตรอดได้ ถ้าหากโง่เง่าลงมือแล้วล่ะก็ ก็มีเพียงความตายอย่างเดียวเท่านั้น!”เงาร่างไอหมอกทะมึนหยุดชะงักในทันทีร่างของเขาวูบไหว ตรงกลางร่างกายแบ่งออกเป็นร่างกายหลายร่างอย่างรวดเร็ว…ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าเงาร่างไอหมอกทะมึนตรงหน้าเปลี่ยนแปรเป็นเงาร่างสิบเก้าร่างในทันใด กลิ่นอายของแต่ละร่างเหมือนกันทุกประการราวกับเป็นร่างจริงด้วยกันทั้งสิ้น“เจ้าเมืองอมตะหรือ” เมื่อหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ ชายหนุ่มผู้องอาจ และหญิงสาวอาภรณ์เทาได้เห็นแล้วต่างก็ตกใจอย่างใหญ่หลวง“เป็นเขาหรือ เจ้าเมืองอมตะน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เดาความเป็นมาของอีกฝ่ายได้ทั่วทั้งดินแดนเก้าเมฆา ขั้นรวมเป็นหนึ่งที่สามารถไปถึงพลังรบชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้ก็มีเพียงน้อยนิดอยู่แล้ว และ ‘เจ้าเมืองอมตะ’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นผู้บำเพ็ญศาสตร์โบราณ พรสวรรค์ของเขาเรียกว่า ‘สรรพชีวิต’ ที่สามารถทำสำเนาร่างจริงของตนเองได้! เจ้าเมืองอมตะผู้นี้สามารถทำสำเนาร่างจริงออกมาได้ถึงสิบแปดร่างในชั่วพริบตา นับรวมกับร่างจริงแล้วก็มีร่างกายถึงสิบเก้าร่างร่างกายสิบเก้าร่าง แต่ละร่างล้วนเหมือนกับร่างจริงทุกประการ แม้กระทั่งวิญญาณก็ถูกทำสำเนาด้วยต้องรู้ไว้ว่าหลังจากเป็นเทพอากาศแล้ว โดยทั่วไปก็จะไม่มีร่างแยก แม้จะเป็นบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดผู้สูงส่ง กระทั่งจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดา พวกเขาแต่ละคนต่างก็ไม่มีร่างแยก ส่วน ‘ประมุขหอหมื่นโลกา’ นั้นมีร่างแยกอยู่มากมาย ทว่าร่างแยกของประมุขหอหมื่นโลกากับ ‘เจ้าเมืองอมตะ’ ขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้นี้มีธรรมชาติที่แตกต่างกันร่างแยกของประมุขหอหมื่นโลกามีอยู่มากกว่า อีกทั้งพลังยุทธ์ของร่างแยกทุกร่างต่างก็ค่อนข้างอ่อนแอแต่ ‘เจ้าเมืองอมตะ’ กลับอาศัยพรสวรรค์ศาสตร์โบราณทำสำเนาร่างจริงออกมา ถ้าหากในอนาคตเขากลายเป็นเทพจักรวาลแล้วสามารถทำสำเนาร่างจริงออกมาได้เช่นกันก็สามารถเห็นถึงระดับความน่ากลัวได้เลยลำพังแค่ร่างเดียวของเขา…ก็มีพลังรบระดับชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาวแล้ว แต่สิบเก้าร่างร่วมมือกัน ดวงจิตเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ก็ยกระดับไปถึงชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้ในทันที“เขามาจริงๆ เสียด้วย” ชายหนุ่มผู้องอาจขมวดคิ้ว “ยุ่งยากเสียแล้ว”“ที่แท้ก็คือเจ้าเมืองอมตะ ข้าว่ารักษาชีวิตเอาไว้จะดีกว่า ยอมแพ้เสียเถิด” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ก็เอ่ยเสียงสูง สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเขาก็ยังใส่ใจอยู่ จึงตะโกนเสียงดังออกไปในทันใด“เจ้าเมืองอมตะอยู่ ไม้อสนีบาตสายทองนั่นก็ไม่มีความหวังแล้วล่ะ” หญิงสาวอาภรณ์เทาลอบส่ายศีรษะ เจ้าเมืองอมตะเป็นถึงผู้แกร่งกล้าที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่แห่งดินแดนเก้าเมฆา พลังต้านทานแกร่งกล้าอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะรักษาร่างกายสิบเก้าร่างเอาไว้ได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ต้องยาวเป็นวันสองวัน แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการต่อสู้แล้วนอกจากนี้ร่างกายสิบเก้าร่าง ขอเพียงแค่ร่างหนึ่งมีชีวิตรอดก็สามารถให้กำเนิดร่างอื่นๆ ออกมาได้อย่างรวดเร็วแล้วดังนั้นเขาจึงเรียกตัวเองว่า ‘อมตะ’!“เดิมทีข้าก็ไม่อยากรีบเปิดเผยตัวตนหรอกนะ แต่คิดไม่ถึงว่าชั้นที่หนึ่งก็จะมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้อยู่ด้วย หึๆ เมื่อครู่ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วแต่เจ้าก็ไม่คว้าไว้ ตอนนี้… ต่อให้เจ้าโขกศีรษะขอร้องข้าก็ไม่มีประโยชน์ ตายไปเสียเถิด” เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนยืนเรียงแถวกันบนขั้นบันไดมิติ ด้านบนเริ่มมีค่ายกลสีดำรูปแปดเหลี่ยมขนาดมหึมาปรากฏขึ้น นี่คือค่ายกลอันน่าหวาดกลัวที่ร่างกายสิบเก้าร่างควบคุมพร้อมกันจึงจะสามารถรักษาเอาไว้ได้ ครั้งแรกที่ปรากฏขึ้น พลานุภาพก็ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ หน้าถอดสี“คิดไม่ถึงว่าเจ้าเมืองอมตะก็มาด้วย เจ้าคนผมขาวที่ใช้กระบี่ผู้นั้นต้องตายเป็นแน่แท้” ชายหนุ่มผู้องอาจส่ายหน้า ในมือมีขวานเหล็กดำขนาดใหญ่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วฟาดฟันลงไปยังประตูหินเบื้องหน้าอย่างแรงปัง ปัง ปัง…เขาฟาดฟันประตูหิน เศษหินจำนวนมากมายบนประตูหินกระเด็นลอยละลิ่ว“น้องเฟยเสวี่ย รีบยอมแพ้หนีเอาชีวิตรอดเร็วเข้าสิ หนีไปตอนนี้ก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่นะ” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ส่งสารมาอย่างกระวนกระวาย “พลังยุทธ์ของเขาอ่อนแอเกินไป นอกจากนี้ ขอเพียงหนึ่งในร่างกายสิบเก้าร่างมีชีวิตรอด ก็จะก่อกำเนิดร่างกายอื่นๆ ขึ้นมาได้ใหม่อย่างรวดเร็วยิ่ง เจ้าสังหารเขามิได้หรอก เขานั่นแหละจะสังหารเจ้า”“สังหารเขามิได้อย่างนั้นหรือ”ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเงาร่างไอหมอกทะมึนสิบเก้าร่างตรงหน้า “ร่างกายสิบเก้าร่าง ผลาญทำลายทิ้งในคราวเดียวก็ได้แล้วมิใช่หรือ”ภายในคลังเก็บสมบัติล้ำค่าของตนมีมีดบินจำนวนมหาศาลเรียงรายแน่นขนัด ซึ่งก็คือชุดอาวุธมีดบินที่ตนซื้อเอาไว้ตอนอยู่ในวังทวีสูญ…เงายะเยือก! มีอยู่ถึงสามพันหกร้อยเล่ม แต่ความสำเร็จของตนในเคล็ดวิชามังกรมัจฉาปลิดชีพ รักษาเอาไว้ภายใต้พลานุภาพที่แกร่งที่สุดก็สามารถกระตุ้นได้เพียงหนึ่งพันสองร้อยเล่มเท่านั้นแต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!ในสายตาของเจ้าเมืองอมตะกับหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์และหญิงสาวอาภรณ์เทาที่ชมดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ ด้านบนของบันไดมิติเส้นนั้นมีอาวุธที่มีรัศมีสีม่วงโคจรล้อมรอบปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างแน่นขนัด รัศมีสีม่วงนั้นก็คือเกราะพล มีดบินสามร้อยเล่มในนั้นล้อมรอบปกป้องอยู่รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนส่วนที่สูงที่สุดของบันไดพลางมองลงมายังเงาร่างของเจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนเบื้องล่าง “ไป”ทันใดนั้นก็มีมีดบินเก้าร้อยเล่มคำรามลั่นราวกับลมพายุแล้วกวาดผ่านไป มีดบินทุกเล่มต่างก็เหลือเพียงรอยสีม่วงเป็นทางเอาไว้ รอยทางสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับรอยจากฝีพู่กัน งดงามเหลือล้ำตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สนใจค่ายกลสีดำด้านบนที่กำลังจะมาถึงตัวเลย สนใจแต่จะเข้าต่อสู้เท่านั้น!“ตอบโต้หรือ เขามีความมั่นใจในตนเองถึงเพียงนี้เชียวหรือ” พวกหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์แต่ละคนต่างก็รู้สึกลังเลสงสัย ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาของตงป๋อเสวี่ยอิงจะล้ำเลิศอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้หมายความว่าพลังคุกคามจะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน บุรุษอาภรณ์ขาวผมขาวผู้นี้ เห้นได้ชัดว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งคิดจะตอบโต้กับเจ้าเมืองอมตะซึ่งๆ หน้าอย่างนั้นหรือ“ปัง”เจ้าเมืองอมตะที่เผชิญหน้ากับการคุกคามของมีดบินเหล่านี้จริงๆ เท่านั้นจึงจะรู้สึกได้ว่าหัวใจหนาวสะท้าน“แย่แล้ว เจอคู่ต่อสู้เสียแล้วสิ!” เจ้าเมืองอมตะเข้าใจในทันที………………………………………
คอมเม้นต์