Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 13 เดือดแค้น
“หากไม่รังเกียจล่ะก็ เจ้ากับข้ามาเรียกกันเป็นพี่น้องเถิด” บุรุษอาภรณ์เงินหลัวไห่โพล่งออกมา เขามีความหยิ่งผยองจนเข้ากระดูก ด้วยนิสัยนี้นี่เอง ทำให้ตอนที่เขาท่องไปทั่วโลกภายนอกนั้นก็มักถูกผู้ที่เขาเรียกว่าเป็น ‘สหายรัก’ คิดบัญชีเป็นประจำ แต่เขาก็มิได้แยแสเรื่องนี้เลย เมื่อลอบคิดบัญชีแล้ว ก็ย่อมเป็นสหายกันต่อไปมิได้เป็นธรรมดา“พี่หลัวไห่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเรียกขานทันทีหลัวไห่โบกมือเพื่อเก็บสมบัติที่ล่องลอยอยู่เหล่านั้นลงไป คิ้วก็ขมวดมุ่น “น้องตงป๋อ สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนี้ข้าเป็นผู้สังหาร สมบัติที่ได้จากการรบชนะก็ต้องตกเป็นของข้าล่ะนะ”“นี่เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ“ครั้งต่อไปหากเจ้าเป็นผู้สังหารก็จะตกเป็นของเจ้า แผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศแล้ว” หลัวไห่ถามต่อว่า “ใช่แล้ว นี่คงเป็นร่างแปรของเจ้ากระมัง แล้วร่างจริงของเจ้าเล่า”“ข้ามิได้มีพลังเช่นพี่หลัวไห่ จึงมิกล้าเข้ามาในแผ่นดินอลหม่านง่ายๆ ร่างจริงยังคงอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่านขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย“เจ้าช่างระวังตัวเสียจริง”จากนั้นหลัวไห่และร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงจากแผ่นดินอลหม่านไปพร้อมกัน แล้วไปพบกับร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างนอกตงป๋อเสวี่ยอิงค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวหลัวไห่ ข้อแรกก็คือเขายินดีที่จะสังหารผู้บำเพ็ญซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ ก็ควรค่าให้เขานับถืออยู่แล้ว ข้อต่อมาก็คือสำหรับผู้แกร่งกล้าขั้นกำเนิดอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมั่นใจว่าจะสามารถป้องกันตัวเองได้ ศิษย์อาภรณ์ทองของวังทวีสูญมิได้ตายได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นหลัวไห่มองเห็นร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา ผู้ปกครองคนหนึ่งยอมให้ร่างจริงมาพบเขา ก็นับว่าเชื่อใจเขามากทีเดียวจะผูกมิตรก็ต้องดูคนด้วยในสายตาของหลัวไห่ ผู้ปกครองคนหนึ่งกล้าลอบโจมตีขุมอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งอย่างเห็นได้ชัดครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน เขาจึงยินยอมที่จะผูกสัมพันธ์ด้วย“เจ้า…” ทันใดนั้นหลัวไห่ก็เบิกตากว้าง เขาเพ่งพินิจตงป๋อเสวี่ยอิงโดยละเอียด “เจ้า เจ้าอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่”เมื่อเห็นร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิง จากกลิ่นอายวิญญาณที่แผ่ออกมาข้างนอกก็พอจะประมาณระยะเวลาในการบำเพ็ญได้คร่าวๆ เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเยาว์วัยยิ่งนัก“ขาดทุนแล้วๆ ยังคิดว่าเจ้าบำเพ็ญมาเนิ่นนานแล้วเสียอีก จึงได้เรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับเจ้า เมื่อดูตอนนี้แล้ว เจ้าอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ แม้ผู้บำเพ็ญจะไม่ค่อยสนใจอายุสักเท่าใดนัก แต่เจ้าก็อ่อนวัยเกินไป ขาดทุนแล้วจริงๆ” หลัวไห่ร่ำร้อง“พี่หลัวไห่บำเพ็ญมานานเท่าใดแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขามองระยะเวลาในการบำเพ็ญของหลัวไห่ไม่ออก รู้สึกเพียงว่าเลือนรางอยู่บ้างแม้แต่วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำก็ยังบอกเขาว่า “คนที่มีนามว่าหลัวไห่ผู้นี้ ข้าสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเขาเป็นขั้นกำเนิดอากาศ แต่เรื่องอื่นก็มิอาจตรวจสอบให้รู้ชัดได้แล้ว คล้ายว่าจะมีสมบัติล้ำค่าคุ้มกายอยู่”“ข้ารึ”หลัวไห่ลูบศีรษะพลางยิ้มอย่างลึกลับ “ข้าบำเพ็ญมานานเท่าใดแล้วหรือ ปัญหานี้ยากที่จะพูดได้จริงๆ ช่างเถิด เจ้าอย่าถามอีกเลย แม้แต่ในบรรดาเทพอากาศ อายุของข้าก็นับว่ามากแล้ว เฮ้อ ช่วยไม่ได้ มิอาจเทียบกับผู้มีพรสวรรค์เช่นพวกเจ้าได้เลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าบำเพ็ญมาถึงระดับขั้นในตอนนี้ได้ต้องลำบากลำบนไปตั้งเท่าใดกัน เจ้าคิดก็คิดไม่ออกหรอก”ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มกว้าง เขาบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาสั้นนัก จากที่ฟังดู พี่หลัวไห่ผู้นี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกที่ใช้เวลายาวนานอย่างยิ่งแล้วสำเร็จเป็นเทพอากาศได้อย่างยากลำบากแต่ทว่า…เขายังคงคิดผิดไป! สิ่งที่ ‘พี่หลัวไห่’ ของเขาคนนี้ประสบมาเกินกว่าที่เขาจินตนาการไปมากนัก“ไป พวกเราไปต่อสู้ในแผ่นดินอลหม่านแห่งต่อไปกันเถิด ระหว่างการต่อสู้จึงจะสามารถเคี่ยวกรำพลังได้มากกว่า อีกทั้งสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศพวกนี้ควรจะฆ่าทิ้งให้เกลี้ยง” หลัวไห่มีความมุ่งมั่นในการต่อสู้เต็มเปี่ยม“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยินดีร่วมทางความเร็วในการทะลุอากาศของหลัวไห่ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง ในฐานะผู้ท่องอากาศซึ่งมีวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบ ลำพังแค่การหลบหลีกในอากาศเพียงอย่างเดียว ก็คงจะแข็งแกร่งกว่าเทพอากาศทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว! แต่ความเร็วของหลัวไห่ในการทะลุผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านเหนือกว่าตนหลายสิบเท่า ตงป๋อเสวี่ยอิงลองคำนวณดู…เกรงว่าตนคงต้องศึกษาวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดจึงจะสามารถเทียบกับพี่หลัวไห่ได้กระมังความเร็วในการทะลุอากาศน่ากลัวมากทีเดียวเพียงเก้าร้อยปีหลัวไห่ก็พาตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงดินแดนอลหม่านอีกแห่งหนึ่ง“น้องตงป๋อ ฆ่า บุกเข้าไปฆ่าเลย” หลัวไห่มองแผ่นดินอลหม่านแห่งนั้นอยู่ห่างๆ สายตาผิดแผกออกไปจากเดิม ราวกับหมาป่ามองเห็นเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น“ไม่ตรวจตราดูเสียหน่อยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าจะส่งร่างแปรเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้รู้ข้อเท็จจริงเสียก่อน”“เจ้ายังคิดจะใช้ร่างแปรอีกรึ” หลัวไห่ส่ายหน้ารัว “ร่างแปรต่อสู้ก็ไม่มีอันตรายอันใด หากไม่ห้ำหั่นท่ามกลางความอันตราย ก็ไม่มีทางทำให้โลหิตสูบฉีดได้น่ะสิ! นอกจากนี้พลังของร่างแปรของเจ้าก็คงจะต่ำกว่าร่างจริงมากทีเดียว ต้องส่งร่างจริงไปต่อสู้จึงจะรับมือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ เมื่อต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก็จะมีประโยชน์ต่อเจ้ามากกว่ามากเลยทีเดียว”“แต่หากส่งร่างจริงไป ก็อาจจะเอาชีวิตไปทิ้งได้ง่ายๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดไม่ออกอยู่บ้าง เส้นทางการบำเพ็ญนั้นยาวไกล หลัวไห่ผู้นี้เอาแต่ใจเช่นนี้ ไม่สนใจอันตรายเช่นนี้ สามารถเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้เชียวหรือนี่บนเส้นทางการบำเพ็ญ การรักษาชีวิตต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง!หากตนเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เมื่ออยู่ในแผ่นดินอลหม่านต่างๆ ก่อนหน้านี้ เช่นเมื่อพบกับสิ่งมีชีวิต ‘เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ เกรงว่าตนก็คงต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว“เจ้าเคลื่อนไหวเพียงลำพังอาจจะต้องระวัง แต่เมื่อติดตามข้าก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ” หลัวไห่พูดต่อไป “ครั้งนี้ข้าออกมาฟันฝ่า ก็พบว่าแผ่นดินอลหม่านจำนวนมากของดินแดนแถบนี้ถูกครอบครองไปหมด ข้าตัดสินใจสังหารไปตลอดทาง ต้องฆ่าพวกเขาให้เกลี้ยงภายในล้านปี”“ภายในล้านปีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “ทั้งยังต้องฆ่าจนเกลี้ยงด้วยหรือ”อย่างตนที่ส่งเพียงร่างแปรเข้าไปลอบสังหาร ก็แค่สามารถสังหารเทพอากาศบางคนให้ตายได้เท่านั้น ส่วนผู้ที่ร้ายกกาจหน่อยตนสู้ไม่ไหว อีกทั้งเมื่อข่าวการมีอยู่ของตนแพร่ออกไป เทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอเหล่านั้นก็ซ่อนตัวไปตั้งนานแล้ว จึงยากมากที่ตนจะประสบผลสำเร็จได้อีก แต่ในขณะเดียวกัน ขุมอำนาจเหล่านี้ก็จะไม่ลงมือกับคนตัวเล็กๆ อย่างตนให้มากมาย! เพราะไม่คุ้มค่าเลย!แต่หลัวไห่กวาดล้างสังหารเช่นนี้…สามารถดึงดูดให้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของขุมอำนาจปรากฏตัวออกมาได้ง่ายดายนัก“เจ้าวางใจเถิด ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” หลัวไห่เห็นตงป๋อ น้องชายคนใหม่ที่ตนเพิ่งจะผูกสัมพันธ์ด้วยนี้ระวังตัวเกินไป ไม่กล้าบ้าคลั่งเช่นนี้ ก็อดที่จะลังเลครู่หนึ่งมิได้ เขาพลิกมือแล้วหยิบป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกมา บนป้ายคำสั่งมีตัวอักษรทรงจัตุรัสเขียนว่า ‘หลัว’ จารึกเอาไว้ ขณะเดียวกันกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นก็แผ่ซ่านออกมาตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นป้ายคำสั่งนี้ ประหนึ่งมองเห็นประกายดาบอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบอย่างไรอย่างนั้น ประกายดาบฟาดฟันหมื่นสรรพสิ่ง ฟาดฟันทุกสิ่ง…“เจ้าเมืองหลัวเป็นบิดาของข้า” หลัวไห่พูดเสียงต่ำ “ครั้งนี้เจ้าคงวางใจแล้วกระมัง”ตงป๋อเสวี่ยอิงมองหลัวไห่อย่างตกตะลึงเจ้าเมืองหลัวหรือเจ้าเมืองหลัวอาศัยร่างขั้นอลวน พลังของเขาก็จัดอยู่อันดับต้นๆ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดทั้งหลาย อย่างเทพจักรวาลทั้งสามแห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพา ได้แก่ ‘ราชันย์มีด’ ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ‘บรรพชนกู่’ ก็มีเพียงราชันย์มีดเท่านั้นที่สูงกว่าเจ้าเมืองหลัวอยู่เล็กน้อย อีกสองท่านล้วนอ่อนแอกว่าเจ้าเมืองหลัวเนื่องจากเขาเป็นขั้นอลวน แต่กลับสำแดงพลังรบเช่นนี้ออกมา ดังนั้นหากพูดถึงระดับขั้นในการต่อสู้จริงๆ แล้ว ในข้อมูลที่ท่านอาจารย์ ‘ผู้ท่องอากาศกู่ฉี’ ให้มานั้น ล้วนเชื่อว่าเจ้าเมืองหลัวเป็นผู้ที่มีระดับขั้นแข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในบรรดาผู้แกร่งกล้าทั้งหมด สถานะของเขาก็พิเศษอย่างยิ่งในข้อมูลที่ท่านอาจารย์กู่ฉีทิ้งเอาไว้ให้นั้นมีคำอธิบายไม่มากนัก แต่โดยสรุปแล้วก็นับถือเจ้าเมืองหลัวเป็นอันมาก บวกกับได้ยินมาว่า ‘ราชันย์มีด’ มีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับ ‘เจ้าเมืองหลัว’ดังนั้นในโลกทิพย์กิเลนบูรพา เมื่อเจ้าเมืองหลัวเอ่ยคำ เกรงว่าคงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าฝ่าฝืน!“เจ้าเมืองหลัวเป็นบิดาของท่านหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองชายหนุ่มอาภรณ์สีเงินตรงหน้าซึ่งสะพายดาบรบเอาไว้ผู้นี้ เขามิกล้าจินตนาการเลยว่าตนจะพบกับผู้ที่มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เข้าได้“ครั้งนี้คงจะวางใจได้แล้วกระมัง ทว่าหากยังไม่ถึงเวลาที่จำเป็น ข้าก็ไม่อยากขอร้องท่านพ่อหรอก” ขณะที่หลัวไห่พูดถึงบิดานั้น นัยน์ตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยอีกฝ่ายเปิดเผยความลับเช่นนี้ออกมา ป้ายคำสั่งนั้นก็ไม่มีทางปลอมแปลงได้ บวกกับที่นี่เดิมทีก็อยู่ใกล้ลับโลกทิพย์กิเลนบูรพาอยู่แล้ว นอกจากนี้ ‘หลัวไห่’ สามารถบำเพ็ญมาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้และมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ ก็ไม่มีทางเลินเล่อและโง่งมมากนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยากจะบ้าคลั่งดูสักตั้งสวบ สวบพวกเขาทั้งสองแปรเป็นลำแสงพุ่งตรงไปทางแผ่นดินอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนั้น……ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ว่าจะกวาดล้างไปตลอดทางอย่างโอหังถึงเพียงนี้ได้! ตามปกติแล้วก็ให้เขาเข้าไปโจมตีแผ่นดินอลหม่านก่อน หากจัดการไม่ได้ หลัวไห่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็จะให้ตงป๋อเสวี่ยอิงต่อสู้จนหนำใจแล้วค่อยลงมือ! เทพอากาศทั่วไปนั้น หลัวไห่ล้วนสามารถสังหารได้ด้วยมือเปล่าผู้ที่มีความสามารถในการรักษาชีวิตแข็งแกร่งยิ่งหรือเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งจึงจะสามารถทำให้หลัวไห่ชักดาบรบด้านหลังออกมาได้เมื่อชักดาบออกมาเขาก็สามารถห้ำหั่นกับเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งซึ่งหน้าได้ ทั้งยังสามารถพาตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหนีไปได้ไกลลิบลิ่วอย่างรวดเร็ว!*******ภายในดินแดนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลเงาร่างอันเกรียงไกรห้าสายกระจายตัวกันอยู่ตามด้านต่างๆ พวกเขาล้วนแปลงเป็นรูปร่างมนุษย์ อุ้งเท้าและรยางค์มหึมาทั้งหลายต่างก็ถือจอกสุราเอาไว้ แล้วดื่มสุราอึกใหญ่กลิ่นอายของพวกเขายิ่งใหญ่ ทำให้รอบด้านมีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ทั้งเมฆดำม้วนตัว ทั้งอสนีบาตฟาดลงมา ทั้งเกล็ดน้ำแข็งแผ่กำจายไปทั่ว“มือดาบอาภรณ์สีเงินคนหนึ่งและชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งเป็นเพียงผู้ปกครองคนหนึ่งเท่านั้น ผู้บำเพ็ญสองคนกล้าโอหังถึงเพียงนี้ด้วย” เงาร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น บนร่างมีรยางค์หลายสิบเส้น รยางค์ของมันถือจอกสุราเอาไว้ ศีรษะใหญ่โตพูดด้วยเสียงทุ้มลึกว่า “พวกเขามิได้ปกปิดเส้นทางที่เข่นฆ่ามาตลอดทางเลย แทบจะสังหารมาตลอดทางตามแผ่นดินอลหม่านที่ใกล้ที่สุด ตามเส้นทางของพวกเขา น่าจะเกือบถึงที่นี่แล้ว”“ครั้งนี้อย่าว่าแต่พวกเขาสองคนเลย ต่อให้เป็นเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งสองคนบุกมา ก็ต้องสังเวยชีวิต”“อย่าสังหารพวกเขาง่ายๆ เลย ต้องทำให้พวกเขาเจ็บปวดทรมานครวญครางเป็นล้านล้านปีเสียก่อน ให้รู้เสียบ้างว่าล่วงเกินพวกเราแล้วต้องเจอกับอะไรบ้าง”“กล้าหาเรื่องพวกเรารึ เฮอะๆๆ”แววอาฆาตของพวกเขาเข้มข้นที่ผ่านมาบางครั้งก็มีผู้บำเพ็ญลงมือบ้าง ทว่าโดยทั่วไปก็ล้วนระมัดระวังเป็นอันมาก ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นก็พอจะเดาได้ว่าขุมอำนาจนี้ไม่ธรรมดา ดังนั้นสิ่งมีชีวิตระดับสูงของขุมอำนาจจึงมิได้ใส่ใจ มองว่าเป็นการขัดเกลาผู้ใต้บังคับบัญชาเบื้องล่างเท่านั้น!แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ผู้อารักขาแผ่นดินอลหม่านถูกเข่นฆ่าไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังกวาดล้างมาตลอดทางอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ทำให้สิ่งมีชีวิตระดับสูงเบื้องหลังพวกเขาเดือดแค้นขึ้นมา ต้องจัดการผู้บำเพ็ญที่บังอาจเหิมเกริมสองคนนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด!……………………………
คอมเม้นต์