Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 5 ความหวังมาถึง
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยป้ายสัญลักษณ์คุ้มกันชีพสำแดงการหลบหลีกในอากาศแข่งกับชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้น ยามที่เขาสำแดงก็ยิ่งเพิ่มความเงียบงันไร้ซึ่งสุ้มเสียง ราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอากาศ แผ่นดินอลหม่านก็ใหญ่โตถึงเพียงนี้ แต่ทันใดนั้นเองตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงบริเวณด้านนอกของหมู่วังที่เชื่อมต่อกันนั้น“วิญญาณอาวุธ ตรวจสอบได้เพียงพอแล้วหรือยัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับศัตรูเลยนั้น เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไป“เพียงพอแล้ว ทั่วทั้งหมู่วังต่างก็อยู่ในบริเวณการตรวจสอบของข้าทั้งสิ้น” วิญญาณอาวุธของน้ำเต้าสีดำถ่ายเสียงพูด “เฮ้อ โชคดีที่ท่านมิได้บุกเข้าไป ภายในหมู่วังแห่งนี้มีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นเทพอากาศอยู่ถึงสามท่านเลยทีเดียว”“เทพอากาศสามท่านอย่างนั้นหรือ” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดรัด“พวกเขาทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่ กำลังหารือกันเรื่องของท่าน แล้วข้าก็จะฟังอย่างตั้งใจ”วิญญาณอาวุธของน้ำเต้าสีดำเงียบงันไปชั่วขณะจึงเอ่ยว่า “เจ้านาย ผู้ที่ประมือกับท่านเมื่อครู่คือหัวหน้ารอง! พลังยุทธ์ก็ควรจัดอยู่เป็นลำดับที่สอง หัวหน้าสามกับหัวหน้ารองยังใกล้เคียงกัน แต่วิญญาณของหัวหน้าใหญ่นั้นแข็งแกร่งกว่ามาก ทว่าต่างก็เป็นเทพอากาศธรรมดาๆ กันทั้งนั้น!”ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญอย่างเงียบๆ“หัวหน้าใหญ่ดูเหมือนจะกังวลกับความเป็นมาของท่านเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ได้ออกคำสั่งลงไปแล้วว่าให้เริ่มการตรวจสอบสิ่งของที่ท่านทิ้งเอาไว้เหล่านั้น” วิญญาณอาวุธของน้ำเต้าสีดำพูด“ยังคงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าตรวจสอบมาหรือยังว่าแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้มีชื่อว่าอะไร”ต้องรู้ชื่อจึงจะรู้ว่าแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้อยู่ในจุดใดของแผนที่อากาศ“หากไม่มีใครพูดถึงสิ่งก่อสร้างหรือสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ภายในหมู่วังก็ไม่มีทางรู้ถึงชื่อของแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ได้เลย” วิญญาณอาวุธเอ่ยอย่างจนใจ “ใช่แล้ว เจ้านาย หัวหน้าทั้งสามนี้ต่างก็กลืนกินชีวิตจำนวนหนึ่ง ข้าตัดสินได้แล้วว่าพวกเขาคงจะเป็นระบบการบำเพ็ญ ‘เหล่ากลืนกิน’ ที่โง่เง่าที่สุด”“เหล่ากลืนกินหรือ” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววโกรธสายหนึ่งปรากฏขึ้นจางๆห้าโลกทิพย์ อากาศอันสับสนอลหม่านกว้างใหญ่ไพศาล มีจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วน ระบบการบำเพ็ญมีมากมายหลายอย่าง แต่ที่อยู่ไปจนถึงจุดสูงสุดได้กลับมีไม่มากนัก!สุดท้ายแล้วการสามารถไปถึงระดับขั้นสูงสุดได้ ก่อนอื่นจะต้องมีผู้อาวุโสตรวจสอบว่าสามารถทำได้ และมี ‘เทพจักรวาล’ ของบันทึกประวัติศาสตร์ ซึ่งมีน้อยเสียจนน่าสงสาร ระบบการบำเพ็ญที่ไปถึงจุดสุดท้ายได้ก็ย่อมมีน้อยนัก ระบบที่ง่ายดายที่สุดในนั้นก็คือ…ระบบ ‘เหล่ากลืนกิน’เหล่ากลืนกิน ก็คือกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปหลอมรวมกับร่างกาย! วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่แต่ละชนิด หรือแม้กระทั่งวิญญาณสิ่งมีชีวิต ล้วนสามารถกลืนกินลงไปได้หมด แม้กระทั่งจักรวาลก็สามารถกลืนกินลงไปได้!ระบบนี้มีกุญแจหลักใหญ่สองอัน หนึ่งคือเคล็ดวิชากลืนกินที่มีความซับซ้อนยิ่งกว่า กลืนกินชีวิตธรรมดากับกลืนกินทหารเทพอากาศชุดหนึ่ง เคล็ดวิชาที่ต้องใช้ก็ย่อมแตกต่างกัน!ส่วนกุญแจหลักอีกอันหนึ่งก็คือร่างกายสามารถซึมซับแล้วเปลี่ยนแปรสิ่งที่กลืนกินให้กลายเป็นตนเอง เคล็ดวิชาที่แปรเปลี่ยนแล้วซึมซับนี้ ระดับขั้นไม่เหมือนกันก็มีเคล็ดวิชาที่แตกต่างกันเช่นเดียวกันทว่าจากขั้นพื้นฐานที่สุดตลอดไปจนถึง ‘ขั้นเทพอากาศรวมเป็นหนึ่ง’ นั้น เคล็ดวิชาของเหล่ากลืนกินนั้นล้วนสามารถสำเร็จได้อย่างง่ายดายยิ่ง เพราะ ‘บรรพชนโลกา’ ผู้สร้างเหล่ากลืนกินเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่หากนึกอยากไปถึง ‘ขั้นอลวน’ ก็จำเป็นต้องเข้าในสำนักของเขา จึงจะได้รับเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำยิ่งขึ้นกลืนกิน…การกลืนกินเพื่อยกระดับที่ง่ายดายที่สุดนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าก็คือการกลืนกินผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ! ดังนั้นระบบนี้จึงก่อให้เกิดจอมมารขึ้นมามากมาย กลืนกินอย่างหยาบช้ากระหายเลือด ทำให้มวลชนแค้นเคืองแต่ ‘บรรพชนโลกา’ กล้าแกร่งเกินไปในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด บรรพชนโลกาถูกจัดอยู่ในสามอันดับแรกอย่างลางๆ สถานะของเขามิอาจสั่นคลอนได้ ดังนั้น ระบบ ‘เหล่ากลืนกิน’ ไม่เพียงแต่ไม่ดับสูญ แต่ผู้ที่บำเพ็ญระบบนี้ยิ่งมาก็ยิ่งมาก โดยเฉพาะ ‘ชีวิตแห่งห้วงอากาศ’ ธรรมดาทั่วไปนั้น มีจำนวนมากมายที่บำเพ็ญระบบเหล่ากลืนกิน“ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ ระดับสิ่งมีชีวิตขั้นสูงสุดนั้นยังห่างไกลจากเขาเหลือเกิน แต่ก็ยังนับว่าเขาโชคดี ถึงอย่างไรวังทวีสูญก็มีพลังอำนาจกล้าแกร่ง ตอนนี้ก็มีบุคคลขั้นสูงสุดสองท่านอย่างบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบนั่งอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เพียงเอ่ยนามออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนกแล้ว……“ยังคงหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์อยู่นะ” เพิ่งปรนนิบัติชีวิตแห่งห้วงอากาศเสร็จ ชายหนุ่มผมขาวผู้ดูแลคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในสวนหย่อมของตนเอง ในใจเต็มไปด้วยความอ้างว้าง“ที่แท้แล้ววันเวลาเช่นนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อใดกันแน่” ชายหนุ่มผมขาวผู้ดูแลพูดพึมพำ แต่อารมณ์บนใบหน้ายังคงไว้ซึ่งความสงบราบเรียบ ด้วยกลัวว่าจะถูกชีวิตแห่งห้วงอากาศที่ลอบสอดแนมอยู่ค้นพบทันใดนั้นอากาศด้านข้างก็เกิดการบิดเบี้ยว แล้วบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาผู้ดูแลผมขาวมองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง “เจ้า เจ้า…เจ้ามิใช่…” บุรุษอาภรณ์ดำตรงหน้าก็คือยอดฝีมือระดับผู้ปกครองผู้นั้นที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นว่ากำลังต่อกรอยู่กับชีวิตแห่งห้วงอากาศนั่นเอง“เจ้าคิดว่าข้าตายไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางพูดติดตลก “นั่นข้าก็แค่หลอกตัวโง่งมอย่างพวกเขาเท่านั้นเอง ที่นี่หลอมรวมกับภาพมายาอย่างแท้จริง ชีวิตแห่งห้วงอากาศที่เจ้าปรนนิบัติตอนนั้นย่อมหาไม่พบอยู่แล้ว”ชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนั้นก็เป็นระดับผู้ปกครองเช่นเดียวกัน แต่ระดับขั้นกลับห่างชั้นกันมากมาย เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงประสบความสำเร็จบนวิถีโลกเทียม หลอกชีวิตแห่งห้วงอากาศระดับผู้ปกครองตนนั้นได้ ก็ยังผ่อนคลายเป็นอย่างมาก“อ้อ” ชายหนุ่มผมขาวพยักหน้า นัยน์ตาเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น เขามองเห็นอนาคตแล้ว เขาเองก็มิได้เต็มใจจะเป็นคนหลอกลวง ถึงอย่างไรในตอนนี้สถานะของพวกเขาก็คือข้ารับใช้ ก็คืออาหาร เหล่าชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้นย่อมไม่ลดตัวลงมาหลอกลวงพวกตนอยู่แล้ว“ข้าขอถามเจ้าหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “แผ่นดินอลหม่านแห่งนี้มีชื่อเรียกว่าอะไรหรือ”“มีชื่อเรียกว่าอย่างไรหรือ” ชายหนุ่มผมขาวสะดุ้งแล้วส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้หรอก แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยออกไปมาก่อนเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าแผ่นดินอลหม่านที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่…มีชื่อเรียกว่าอย่างไรในโลกภายนอก”ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าไม่เคยได้ยินผู้อาวุโสของเผ่าเจ้าพูดมาก่อนเลยหรือ”อ้างอิงจากการสำรวจห้วงอากาศของเขา…ผู้บำเพ็ญทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านยังสามารถรักษาอิสรภาพเอาไว้ได้ ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือระดับผู้เคารพ! สำหรับ ‘ผู้ปกครองเทพแท้’ นั้น ตนเองก็ค้นพบแล้ว แต่ล้วนถูกพลังผนึกกักขังเอาไว้“ไม่เคยได้ยินเลย” ชายหนุ่มผมขาวส่ายหน้า แต่พอเขาเห็นท่าทีหน้านิ่วคิ้วขมวดของบุรุษอาภรณ์ดำตรงหน้า ก็อดที่จะพูดต่อมิได้ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ แต่เหล่าผู้ปกครองต้องรู้แน่”“แต่เหล่าผู้ปกครองล้วนถูกคุมขังอยู่ ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าถูกคุมขังเอาไว้ที่ไหน” ชายหนุ่มผมขาวเอ่ยอย่างจนใจ“เหล่าผู้ปกครองต้องรู้แน่อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆแล้วเขาก็สนทนากับชายหนุ่มผมขาวผู้นี้อีกหลายเรื่อง จึงค่อยเอ่ยออกมาว่า “ตอนนี้อดทนเอาไว้ก่อน ข้าจะช่วยพวกเจ้าออกมาให้ได้อย่างแน่นอน แต่ก็ต้องการเวลาด้วย”“พวกเรารอได้ รอได้จริงๆ” ชายหนุ่มผมขาวได้ยินคำมั่นจากคนตรงหน้า ก็ราวกับคนจมน้ำที่ไขว่คว้ากิ่งไม้ เขาพยักหน้ารับคำ แม้จะมีความหวังเพียงเส้นเดียว…พวกเขาก็จะไขว่คว้าเอาไว้ให้แน่น“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า แล้วเงาร่างก็หายลับไปอย่างสมบูรณ์ในทันใดชายหนุ่มผมขาวรู้สึกได้ว่าทั้งหมดนี้ราวกับความฝัน แต่สีหน้าของเขาก็กลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แล้วจัดการงานของผู้ดูแลอย่างอ่อนน้อมเช่นเดิม ทว่าส่วนลึกภายในใจของเขามีเปลวเพลิงลุกโชน นี่คือเพลิงแห่งความหวัง!……ภายในคุกอันหนาวเหน็บมืดมนแห่งหนึ่งบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงถูกโซ่หลายเส้นพันธนาการเอาไว้ แม้กระทั่งกระดูกสันหลังของเขาก็ยังถูกโซ่เลื้อยพันเข้าไปล่ามเอาไว้ วิญญาณของเขาก็ถูกผนึกเอาไว้ด้วย อีกทั้งบนโซ่ยังมีผนึกอันหนาหนักซึ่งผนึกตายพลังยุทธ์ของเขาเอาไว้โดยสมบูรณ์แววตาของเขาหม่นมัว เขาได้ผ่านวันอันมืดมนไร้ซึ่งแสงอาทิตย์มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว“เพราะเหตุใดกัน เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้”“พวกเราดินแดนอลหม่านแห่งนี้ เดิมทีก็อยู่กันดีๆ เหตุใดจึงมีชีวิตแห่งห้วงอากาศฝูงใหญ่รุกรานเข้ามาได้”“แล้วผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งคนอื่นๆ เล่า เหตุใดจึงปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้”นัยน์ตาของบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงปรากฏแววสิ้นหวังอ้างอิงจากสิ่งที่เขารู้ ชีวิตแห่งห้วงอากาศโดยทั่วไปมักมิกล้าทำอะไรเช่นนี้ เป็นเพราะเวลายาวนานกว่าเล็กน้อยจึงถูกค้นพบได้ง่าย ก็มีผู้บำเพ็ญที่กล้าแกร่งบุกไล่สังหารชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ แต่ทว่าชีวิตแห่งห้วงอากาศฝูงนี้บุกรุกเข้ามาเนิ่นนาน เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเคยถามมาก่อน แม้กระทั่งข่าวคราวที่เขาได้รู้ ไม่เพียงแต่แผ่นดินอลหม่านบ้านเกิดของเขาแห่งนี้เท่านั้น บริเวณรอบๆ ยังมีเขตแดนขนาดใหญ่ที่ถูกชีวิตแห่งห้วงอากาศครอบครองไปแล้วเช่นกัน“เป็นอาหารของพวกเขา ธรรมดาก็เป็นทาส พวกเขานึกอยากกิน ก็กินเกลี้ยงได้เลย” บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงพูด “แม้กระทั่งผู้ปกครองที่แสนยิ่งใหญ่เช่นข้าก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการ มอบให้กับชีวิตแห่งห้วงอากาศคนหนึ่ง”ผู้ปกครองส่วนใหญ่ล้วนกลายเป็นอาหารสำรองของหัวหน้าทั้งสามนั้นมีเพียงส่วนน้อยนักที่แตกต่าง ถูกส่งมอบให้กับลูกมือที่มีหน้ามีความดีความชอบสักหน่อย บุรุษผมยุ่งผู้นี้ก็้คือหนึ่งในนั้น“เข้ามาช่วยพวกเราสิ”“วันเวลาเช่นนี้ เมื่อใดจะสิ้นสุดลงกันหนอ” ในใจของบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“เฮ้อ”ทันใดนั้นบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงก็รู้สึกได้ว่าอากาศตรงหน้าบิดเบี้ยว แล้วก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นก็คือบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่ง นี่ทำให้บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงรู้สึกตื่นตระหนกงงงัน เขากะพริบตาอย่างหนักหน่วง แต่ทว่าเบื้องหน้ามีบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นภายในคุกจริงๆ แล้วยืนอยู่ตรงหน้าเขา“เจ้าวางใจเถิด ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ“เจ้ามาช่วยพวกเราใช่หรือไม่ มาช่วยเหลือแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ใช่หรือไม่” บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงถามขึ้น“ข้าจะทำอย่างสุดกำลัง ถ้าหากไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมายก็มีโอกาสช่วยได้ถึงแปดเก้าส่วนในสิบส่วนเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดนัยน์ตาของบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงมีประกายสว่างวาบขึ้นในทันใด“เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้มีชื่อว่าอะไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม“ข้ารู้” บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงเอ่ยตอบทันควัน “ข้าเคยได้ยินจ้าวพูดว่า เรียกว่าดินแดนจอมละโมบ”…………………………………….
คอมเม้นต์