Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 13

อ่านนิยายจีนเรื่อง Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 13 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

 
“น้องตงป๋อ จักรวาลคีรีมารของข้าปฏิบัติต่อผู้แกร่งกล้าต่างถิ่นอย่างเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งแยก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวอมยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าว่านี่เป็นเพราะอะไร”
“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างตั้งใจ
“ด้วยเป็นคำสั่งของบรรพบุรุษ ข้าผู้เป็นผู้สืบทอดรุ่นหลังย่อมมิกล้าละเมิด” เจียวอวิ๋นหลิวกดเสียงต่ำพูดว่า “เจ้าก็คงจะได้ยินมาแล้ว ระบบการบำเพ็ญสายโลหิตของพวกเรา…ก็เพราะวิญญาณของพวกเราทั้งจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนสังเคราะห์มาจากท่านบรรพชนร่วม ท่านบรรพชนท่านมีพละกำลังอันมิอาจเอาชนะได้อย่างเหนือจินตนาการ ในอนาคตเมื่อจักรวาลแห่งนี้ถึงกาลอวสาน พวกเราไปจากจักรวาลแห่งนี้ ก็สามารถไปร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านบรรพชนได้”
ในขณะนี้เอง ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดิมทีกำลังจิบสุราอย่างช้าๆ ก็หยุดลงโดยไม่รู้ตัว
“ข้าบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง”
เสียงของเจียวอวิ๋นหลิวยิ่งกดต่ำลงไปอีก “ท่านบรรพชนของบ้านข้าอยู่ที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา โลกทิพย์ทะเลสัตตดารานั้นเป็นสิ่งที่ท่านบรรพชนของบ้านข้ากับท่านผู้ทัดเทียมกันอีกท่านหนึ่งร่วมมือกันสรรค์สร้างขึ้น!”
ม่านตาของตงป๋อเสวี่ยอิงหดตัวลง ในใจหวาดหวั่น
โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราหรือ
นี่มัน…
มิใช่สถานที่ที่บรรพชนเทียนอวี๋ ประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบอาศัยอยู่หรอกหรือ ในท้ายที่สุดแล้วเหล่าผู้บำเพ็ญของจักรวาลตนก็ต้องไปสวามิภักดิ์ต่อบรรพชนที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา
ที่แท้แล้วโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเป็นสถานที่ที่ท่านบรรพชนของจักรวาลคีรีมารกับท่านผู้ทัดเทียมกันอีกท่านหนึ่งร่วมมือกันสรรค์สร้างขึ้นอย่างนั้นหรือ
“สถานะของท่านบรรพชนของบ้านข้าในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารานั้นสูงส่งยิ่งนัก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “ผู้ที่เต็มใจจะสวามิภักดิ์ต่อบรรพชนนั้นมีมากมายเหลือคณานับ กับสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลอื่นๆ ท่านบรรพชนก็ปฏิบัติด้วยอย่างทัดเทียมกัน ดังนั้น น้องตงป๋อ… เจ้ามีพลังเช่นนี้ ถึงแม้ว่าบ้านเกิดเจ้าจะไม่มีเทพอากาศ แต่จักรวาลคีรีมาของพวกเรามี! เจ้าสามารถพาคนของเจ้ามา แล้วออกเดินทางร่วมกับพวกเรา มุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา แต่ทว่าเวลาของจักรวาลเรานั้นเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ตอนที่จักรวาลถึงกาลอวสาน จักรวาลอื่นๆ อาจเพิ่งผ่านไปเพียงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้นก็เป็นได้”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาที่แตกต่างกันเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งนัก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ท่านบรรพชนก็อยากจะให้กำเนิดทายาทผู้แกร่งกล้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ด้วยน่ะสิ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ
จักรวาลคีรีมารแห่งนี้ช่างมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เสียจริง! บรรพชนเทียนอวี๋ ประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบที่ตนต้องไปหาในอนาคตผู้นั้น ก็อยู่กับเหล่าผู้แกร่งกล้าของจักรวาลคีรีมารที่โลกทิพย์แห่งหนึ่ง ต้องรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ให้ดีสักหน่อย ไม่แน่ว่าอำนาจของอีกฝ่ายอาจแกร่งกล้ายิ่งกว่าบรรพชนเทียนอวี๋เสียอีก
“จักรวาลคีรีมารของพวกเราเชื่อมต่อกับจักรวาลอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย สร้างทางเชื่อมกับแต่ละจักรวาล” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “การทำให้ระบบการบำเพ็ญที่แตกต่างกันได้ปะทะกัน จะช่วยในการบำเพ็ญของพวกเราได้”
“แต่ว่า…”
“การปะทะของระบบที่แตกต่างกัน ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาที่เหนือกว่าจักรวาลอื่นๆ นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านบรรพชนยังทิ้ง ‘บรรพคีรีมาร’ เอาไว้อีกด้วย ”ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด
“มาแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหว
ต่อให้มิได้สังหารจักรพรรดิเทพมารแดง รอให้ตนบำเพ็ญจนแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ แผนการเดิมคือรอให้ถึงเวลาที่วิชาลับผู้ท่องไปถึงชั้นที่เก้าชั้นที่สิบ แล้วค่อยหาโอกาสแสดงพลัง ตอนนี้แสดงพลังไปก่อนล่วงหน้า…ก็ไม่เห็นเป็นอะไร! ผนวกกับความได้เปรียบของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของตนก็นับได้ว่ามั่นอกมั่นใจได้พอควรแล้ว
มาถึงยังจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ นอกจากเวลาที่เคลื่อนไปเร็วขึ้นกว่าสามพันเท่าจะสามารถยกระดับการบำเพ็ญของตนได้แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘บรรพคีรีมาร’ ที่เล่าขานกันมา
ยามที่พูดคุยกับองครักษ์เหล่านั้น…ย่อมได้ยินเกี่ยวกับบรรพคีรีมารในตำนานนั้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคยเปรยกับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ย่อมต้องมีความคิดเกี่ยวกับบรรพคีรีมาร
“บรรพคีรีมารเป็นสถานที่บำเพ็ญอันพิสดารพันลึกที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้” เจียวอวิ๋นหลิวพูด “ไปบำเพ็ญที่นั่น พลังจะรุดหน้าอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เจ้าไปดูก็จะรู้เอง แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยได้สัมผัสจริงๆ มาก่อนเลย”
พูดมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของเจียวอวิ๋นหลิวก็ปรากฏแววกระหาย
ตัวเขาเป็นบุตรชายของเทพอากาศ ก็ปรารถนาบรรพคีรีมารเป็นอย่างมากเฉกเช่นเดียวกัน แต่กฎที่ท่านบรรพชนบัญญัติเอาไว้ ผู้ใดก็มิกล้าละเมิด
“บรรพคีรีมารมหัศจรรย์เป็นที่สุด ที่แท้แล้วมหัศจรรย์อย่างไร ต้องเข้าไปดูจึงจะรู้”
“ที่นั่นแบ่งออกเป็นชั้นใจกลาง ชั้นใน แล้วก็ชั้นนอก”
“ท่านบรรพชนบัญญัติกฎเอาไว้ว่า… มีเพียงผู้ปกครองที่แข็งแกร่งที่สุดและไปถึงระดับขั้นเทพอากาศเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปถึงชั้นใจกลางได้” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “ผู้ปกครองที่สามารถไปที่นั่นได้มีเพียงผู้เดียว ทั้งยังแข็งแกร่งที่สุด เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ของข้าคงมีความหวังริบหรี่”
“ชั้นใน ว่ากันว่ามีแกนค่ายกลอยู่เพียงเก้าอันเท่านั้น ทุกๆ แกนค่ายกลจะมีคูหาอยู่แห่งหนึ่งซึ่งสามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียว กฎของท่านบรรพชนก็คือ ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งกับผู้ปกครองแปดคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปยังชั้นในได้”
“ชั้นนอก มีค่ายกลสามสิบสองแห่งประกอบเข้าด้วยกัน เท่ากับมีสามสิบสองคูหา! ท่านบรรพชนกำหนดให้ผู้ปกครองสามสิบคน กับผู้เคารพสองคน ที่จะสามารถเข้าไปได้”
เจียวอวิ๋นหลิวเอ่ยอย่างจนใจ “ดังนั้นทั่วทั้งบรรพคีรีมาร…อย่างมากที่สุดก็มีเพียงผู้ปกครองสามสิบแปดคน ผู้เคารพกับเหล่าเทพอากาศสามคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้”
“และผู้ปกครองของจักรวาลคีรีมารของเราก็มีเกินกว่าสองร้อยคน แล้วยังมีผู้ปกครองจากจักรวาลแห่งอื่นๆ รวมเข้าไปอีกร้อยกว่าคน คิดจะเป็นสามสิบเก้าคนแรกที่ได้เข้าไปนั้นยากเย็นสักเพียงใดกั
เจียวอวิ๋นหลิวส่ายศีรษะ
ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง
ยากจริงๆ
ผู้ปกครองของจักรวาลคีรีมารมีมากมายไม่ต่างจากจักรวาลอื่นๆ ผู้ปกครองสามร้อยกว่าคน! คิดจะเข้าไปยังบรรพคีรีมาร มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น
“มีผู้เคารพมากน้อยสักเท่าใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“จักรวาลคีรีมารของพวกเรามีผู้เคารพเกินพันคนกระมัง รวมกับจักรวาลอื่นๆก็ต้องมีเป็นหลายร้อยคน ท้ายที่สุดมีเพียงสามคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้” เจียวอวิ๋นหลิวพึมพำ “ผู้เคารพสามคนนี้ มีสองคนที่ล้วนมาจากต่างถิ่น มีเพียงคนเดียวที่เป็นคนของจักรวาลคีรีมารเรา”
เจียวอวิ๋นหลิวมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเป็นประกาย “น้องตงป๋อ ข้าบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้าก็เพราะเหตุนี้ ถึงแม้ว่าผู้เคารพทั้งสามที่เข้าไปในบรรพคีรีมาร พวกเขาก็น่ากลัวเป็นอย่างมากแล้ว แต่ว่า…ในพวกเขาสามคน มีเพียงสองลำดับแรกเท่านั้นที่เอาชนะผู้ปกครองได้ ส่วนคนที่สามนั้นก็แค่พอสูสีกับผู้ปกครองเท่านั้น”
“เจ้าสามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้” เจียวอวิ๋นหลิวพูดต่อ “ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเทพมารแดงจะมิใช่จักรพรรดิเทพที่ร้ายกาจอะไร ไม่มีคุณสมบัติจะเข้าไปยังบรรพคีรีมาร แต่ก็มิได้นับว่าอ่อนแอเกินไปนัก เจ้าสามารถเอาชนะเขาได้ ก็มีหวังที่จะไปท้าทายผู้เคารพในบรรพคีรีมารได้แล้ว”
“การเข้าไปในบรรพคีรีมาร…จุ๊ๆ แม้ยามฝันข้าก็ยังอยากเข้าไป เกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้บำเพ็ญทุกคนในจักรวาลคีรีมารของเรา ก็คือการเข้าไปยังบรรพคีรีมาร!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
การจะเข้าไปยังบรรพคีรีมารนั้นมิง่ายเลย เพราะด้านในมีผู้เคารพอยู่สามคนแล้ว ตนต้องการที่จะเข้าไป เช่นนั้นก็จำเป็นต้องต่อสู้เอาชนะเพื่อขับออกมาเสียคนหนึ่ง
ต้องรู้ไว้ว่า…
สามท่านตรงหน้า มีสองท่านที่เคยมีประวัติเอาชนะผู้ปกครองมาแล้ว
เหมือนกับผู้ครองชิงและผางอีแห่งจักรวาลผู้บำเพ็ญ ยามที่ผู้ครองชิงเป็นผู้เคารพก็ไม่เคยเอาชนะผู้ปกครองมาก่อนเลย อย่างมากที่สุดก็แค่สูสีกับผู้ปกครอง ส่วนผางอีนั้น ถึงแม้ว่าตอนเป็นผู้เคารพจะเคยเอาชนะผู้ปกครอง แต่นั่นคือผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดที่ซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงเอาไว้
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว การที่ผู้เคารพจะเอาชนะผู้ปกครองได้นั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก
นี่คือสามท่านที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในบรรดาผู้เคารพจำนวนมหาศาลของ ‘จักรวาลคีรีมาร’ และจักรวาลอื่นๆ อีกมากมาย นั่นต้องเรียนรู้ผ่านระบบการบำเพ็ญมากมายกว่าจะคัดสรรผู้เคารพสามท่านออกมาได้ ทั้งยังบำเพ็ญอยู่ภายในบรรพคีรีมารเป็นระยะเวลานาน พลังลึกล้ำเกินหยั่งถึง! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้มีหลักประกันเพียงพอ เดิมทีวางแผนจะบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องให้ร้ายกาจกว่านี้ก่อนแล้วค่อยไป ใครจะไปคิดว่าจักรพรรดิเทพมารแดงจะโผล่ออกมากันเล่า!
“ลองดูก่อนก็แล้วกัน”
“ถึงแม้จะพ่ายแพ้ ก็สามารถลองดูอีกเป็นครั้งที่สองได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คิดล่าถอย ถึงอย่างไรการต่อสู้ที่บ้านเกิดก็สามารถปะทุขึ้นมาได้ทุกเวลา ยิ่งเข้าไปในบรรพคีรีมารได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเล่าเรื่องราวอีกเล็กน้อย จริงๆแล้วเขาก็มิได้รู้มากมายสักเท่าใดนัก สุดท้ายแล้วพลังของเขาก็ยังห่างชั้นกับการเข้าไปในบรรพคีรีมารอีกไกลโข
“เอาล่ะ ข้าก็พูดในสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว น้องตงป๋อ ข้าต้องรีบไปบำเพ็ญ มิอาจอยู่เป็นเพื่อนได้แล้ว”
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวยืดกายลุกขึ้น เขามีความทอดถอนใจอยู่บ้าง “คราวนี้ได้น้องตงป๋อช่วยข้ารักษาผลวิเศษมารดำเอาไว้แท้ๆ ข้าติดค้างบุญคุณอันใหญ่หลวงกับเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว”
“การปกป้องท่านชาย เป็นสิ่งที่ข้าสมควรต้องทำอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายลุกขึ้นเช่นกัน
“ไม่ๆ ถ้าหากเจ้าทรยศ หรือแย่งชิงผลวิเศษมารดำไปจากข้า ข้าก็หมดหนทางแล้ว” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด
“บุญคุณครั้งนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว ตอนนี้ข้าไปเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญก่อนล่ะ”
“ไปเถิดๆ อย่ากังวลเรื่องข้าเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขาเองก็รู้ว่าเจียวอวิ๋นหลิวผู้นี้จะต้องอยากไปบำเพ็ญอยู่แล้วเป็นแน่
เจียวอวิ๋นหลิวแย้มยิ้ม แล้วจากไปเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญในทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงหรี่ตาพลางพึมพำเสียงแผ่ว “บรรพคีรีมาร…”
……
จักรวาลผู้บำเพ็ญ ภายในห้องโถงเล็กของตำหนักเทพคมมีดโลหิต
ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น นั่นก็คือร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิง
“ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่เดินออกมา
“เสวี่ยอิงหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถามขึ้น “มีข่าวอันใดหรือ”
“ข้าอาจจะต้องไปที่บรรพคีรีมารในเร็ววันนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ท่านอาจารย์ ภารกิจที่ท่านให้ข้าทำ ข้าจะต้องทำอย่างสุดกำลังแน่ ท่านอาจารย์ยังมีคำสั่งอันใดอีกหรือไม่ขอรับ”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด