Alchemy Emperor of the Divine Dao ตอนที่ 1114
เซี่ยอู๋เฉียนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้พวกเขาใช้การโจมตีทางจิตวิญญาณเหมือนกัน หลิงฮันทำได้เพียงให้วิญญาณล่าถอย แต่การโจมตีของเขาสามารถทำให้วิญญาณสลายไป นี่แสดงให้เห็นถึงความแต่งต่างระหว่างพวกเขาทั้งสองหลิงฮันชำเลืองมองด้วยท่าทีดูถูก ทักษะจิตเจ็ดสังหารเมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้ด้วยพลังเต็มที่ เขาแค่ต้องการทดสอบพลังของวิญญาณเท่านั้นแต่ในความคิดของเซี่ยอู๋เฉียนคือหลิงฮันนั้นอ่อนแอกว่าตนเองหลิงฮันเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย หลังจากที่ยุบกลุ่มแล้ว เขาจะทำให้อีกฝ่ายเห็นแน่นอนว่าใครกันแน่ที่เหนือว่าจนอีกฝ่ายต้องรู้สึกอัปยศไปเอง“วิญญาณเมื่อครู่คืออะไรกัน?” เส้าซือซือเอ่ยถามนางเป็นสตรีแถมยังงดงาม ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยถามเรื่องที่ไม่รู้ออกมา ในทางกลับกัน ถ้าเป็นบุรุษคนอื่นในกลุ่มที่มีเรื่องที่ไม่รู้ พวกเขาคงไม่มีทางเอ่ยปากถามขึ้นมาง่ายๆแน่ อัจฉริยะเช่นพวกเขาจะยอมเสียหน้าได้อย่างไร?ทุกคนนิ่งสนิทเนื่องจากไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่าวิญญาณเมื่อครู่คืออะไรหลิงฮันถอนหายใจและกล่าว “วิญญาณเมื่อครู่มีอาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์”“ว่าไงนะ!” ทุกคนอุทานออกมา ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์หมายความว่าอย่างไร?“หลิงฮัน เจ้าอย่างสร้างเรื่องให้คนอื่นตกใจ!” เซี่ยอู๋เฉียนแย้งทันทีหลิงฮันคร้านจะมองไปยังอีกฝ่ายและกล่าวต่อ “ช้าไม่ได้คาดเดามั่วๆ วิญญาณเมื่อครู่สมควรเป็นสิ่งมีชีวิตของดินแดนใต้พิภพ”วิญญาณเมื่อครู่ทำให้เขานึกถึงจักรพรรดิจอมอสูรที่เป็นสิ่งมีชีวิตไร้กายหยาบและมีความสามารถในการคุกคามจิตวิญญาณแต่วิญญาณเมื่อครู่ดูแล้วไม่น่ามีสัญชาตญาณ มันโจมตีราวกับเป็นเพียงเครื่องจักรไร้ชีวิต ถ้าหากเปลี่ยนจากวิญญาณเมื่อครู่เป็นจักรพรรดิจอมอสูรอาจจะทำพวกเขาปวดหัวได้“ดินแดนใต้พิภพ!”พวกเขานั้นนับว่าชคีมากที่จักรวาลของพวกเขามีกำแพงกั้นสองโลกที่แข็งแกร่งไร้ช่องโหว่ และเพราะเช่นนั้นพวกเขาจึงไม่เคยประจันหน้ากับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเลยสักครั้ง พวกเขาเพียงเคยได้ยินเรื่องราวมาเท่านั้นขนาดปรมาจารย์สามวิถียังปลดตัวออกมาจากสนามรบสองดินแดน แม้แต่ปรมาจารย์เช่นนั้นยังไม่สามารถจัดการผู้บุกรุกจากดินแดนใต้พิภพได้ แสดงให้เห็นว่าดินแดนใต้พิภพแข็งแกร่งขนาดไหน“น้องชายหลิงแน่ใจรึ?” ใบหน้าของซู่จิงเคร่งเครียด ถ้าวิญญาณนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจริงๆคงจะไม่ดีแน่ แม้วิญญาณเมื่อครู่จะอ่อนแอ แต่บางทีอาจจะมีสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตนอื่นที่แข็งแกร่งอยู่ก็ได้นั่นมันถึงในจักรวาลของพวกเขามีสนามรบสองดินแดน!สงคราม ต้องเกิดสงครามครั้งใหญ่แน่!หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ต่อให้วิญญาณนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจริงๆก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสนามรบสองดินแดน บางทีผู้สร้างสุสานแห่งนี้อาจจะเป็นคนนำสิ่งมีชีวิตใต้พิภพมาเองก็ได้”ใช่ว่าเรื่องที่เขาพูดจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้สร้างสุสานแห่งนี้สมควรจะตายไปนานแล้ว สิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่เขาจับมาจะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้เลยรึ?หลิงฮันส่ายหัว อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่มีทางหาคำตอบได้ คิดไปก็เสียเวลาวิญญาณที่ปรากฏออกมานั้นโง่เขลาไร้สติปัญญา ดังนั้นพวกเขาตึงโจมตีวิญญาณตนอื่นๆที่เหลืออยู่ด้วยการโจมตีทางจิตวิญญาณวิญญาณเหล่านี้แปลกประหลาดมาก หลังจากถูกสังหารสภาพของพวกมันจะสลายกลายเป็นหมอกและจางหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวหลิงฮันสื่อสารกับจักรพรรดิจอมอสูรผ่านสัมผัสสวรรค์ จักรพรรดิจอมอสูรนั้นมีต้นกำเนิดมาจากดินแดนได้พิภพหลังจากฟังที่หลิงฮันเล่า จักรพรรดิจอมอสูรก็ตอบอย่างรวดเร็ว “จากที่นายท่านอธิบายมา จักรพรรดิมั่นใจราวๆเก้าส่วนว่าวิญญาณเหล่านั้นต้องเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่เรียกว่า “จอมเขมือบเงา” ”“จอมเขมือบเงา?” หลิงฮันประหลาดใจ“ขอรับ มันคือสิ่งที่ชีวิตที่กลืนกินเงาคนอื่น มันสามารถสังหารเป้าหมายได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย” จักรพรรดิจอมอสูรกล่าว “เพียงแต่ว่าวิญญาณที่นายท่านบอกว่านั้นมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ราวกับว่าพวกมันสูญเสียสติปัญญาไปเหลือเพียงสัญชาตญาณในการตามติดเงาของคนอื่นและไม่อาจทำอันตรายต่อเป้าหมายได้”หลิงฮันพยักหน้า วิญญาณนั่นสมควรเป็นจอมกลืนกินเงาจริงๆ แต่สติปัญญาของพวกมันคงหายไปเมื่อเข้ามาอยู่ในสุสานแห่งนี้ แม้แต่ความสามารถในการกลืนเงาเองก็ยังหายไปด้วย พวกมันทำได้เพียงติดตามเงาคนอื่นไปตามสัญชาตญาณ“มุ่งหน้ากันต่อ วิญญาณนั่นจะเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่พวกเราสามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย” เฉียนหลี่เสวี่ยนกล่าวอย่างภาคภูมิใจเฉียนหลี่เสวี่ยนและคนอื่นๆนั้นเป็นทายาทของขุมอำนาจที่ทรงพลัง พวกเขาจึงได้รับการฝึกฝนทักษะที่ใช้โจมตีทางจิตวิญญาณดังนั้นพวกเขาจึงไม่หวาดกลัวเหล่าวิญญาณที่นี่แม้แต่นิดเดียวพวกเขามุ่งหน้าต่อไป ผ่านไปไม่นานก็มีเงาเกินจำนวนคนปรากฏขึ้นที่พื้นครั้งนี้พวกเขาเตรียมพร้อมไว้แล้ว พวกเขาจัดการวิญญาณแต่ละตัวอย่างไร้ความหวั่นเกรงที่จริงไม่ใช่แค่การโจมตีทางจิตวิญญาณที่สามารถคุกคามเหล่าวิญญาณได้ แต่เปลวเพลิงหรือสาฟ้าและพลังธาตุอื่นๆก็สามารถคุกคามพวกมันได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าผลลัพธ์จะไม่รุนแรงเท่าการโจมตีทางจิตวิญญาณ“ฮ่าๆ ที่แท้ก็ง่ายๆแค่นี้” เมื่อเดินไปได้สักพักพวกเขาก็มองเห็นประตูเหล็กขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ดูเหมือนประตูนี่จะเป็นทางผ่านด่านชั้นแรกทุกคนเผยรอยยิ้มสำหรับจอมยุทธระดับภูผาวารีทั่วไป การผ่านชั้นแรกไม่ใช่เรื่องง่าย จะมีจอมยุทธระดับภูผาวารีมากมายเท่าใดเชียวที่มาจากขุมอาจใหญ่และฝึกฝนการโจมตีทางจิตวิญญาณ?เพราะงั้นหากเปลี่ยนเป็นจอมยุทธกลุ่มอื่น ด่านที่หนึ่งคงไม่ง่ายเช่นนี้แน่“ช้าก่อน!”เมื่อพวกเขาเดินเข้าใกล้ประตู พวกเขาก็พบกับสัตว์อสูรยักษ์ที่ด้านหน้าประตู เนื่องจากสีของมันกับสีของพื้นหอคอยเหมือนกันจึงจำแนกได้อย่างเมื่อมองจากระยะไกลสัตว์อสูรตนนี้… อธิบายได้ยากนักว่ามันมีรูปร่างเช่นไร สภาพของมันในตอนนี้กำลังนอนแบนราบกัลพื้นราวกับเป็นพรม“พวกเจ้ารู้จักสัตว์อสูรเช่นนี้รึไม่?”“ดูเหมือนเราต้องจัดการมันสินะ”เส้าซือซือยิ้มและกล่าว “ให้ข้าจัดการเอง!”นำนางคันศรและลูกสองออกมา ทั้งคันศรและลูกศรถูกสลักเอาไว้ด้วยอักขระศักดิ์สิทธิ์ สองสิ่งนี้คืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง“ที่แท้น้องสาวเส้าก็เชี่ยวชาญในศาสตร์การยิงธนูด้วย!” ทุกคนกล่าวชม จอมยุทธที่เชี่ยวชาญศาสตร์การยิงธนูจะสามารถโจมตีอย่างรุนแรงได้จากระยะไกล“ข้าฝึกฝนสำเร็จเพียงเล็กน้อย” เส้าซือซือถ่อมตัวและตั้งท่ายิง ทั้งลูกศรและคันศรส่องแสงสว่างที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจจิตใจของทุกคนสั่นสะท้าน พลังของลูกศรนี้ไม่อาจดูถูกได้
คอมเม้นต์