Alchemy Emperor of the Divine Dao ตอนที่ 562
‘เวลาแบบนี้ยังไม่ลืมที่จะจีบสาว!’แต่ผู้คนมากมายก็รู้สึกตื่นเต้นจนแววตาส่องประกายและถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเรากำลังรอให้ซวนหยวนจื่อกวงลงมืออยู่“งี่เง่า!” หลิงฮันส่ายหัว“งี่เง่า!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพูดตามและแลบลิ้นออกมา“ครั้งหน้าที่พบกับเจ้าโง่นี่ เจ้าจงทุบตีมันซะ!” หลิงฮันพูด“แต่ทำแบบนั้นข้าก็เจ็บมือสิ!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอหลิงฮันครุ่นคิดและนำหินก่อนหนึ่งออกมาใส่มือนาง “ใช้สิ่งนี้ทุบตีมัน”เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพยักหน้าและพูดตอบ “อืม!” นางถือก้อนหินเอาไว้ในมืออย่างกระตือรือร้นสีหน้าของซวนหยวนจื่อกวงเปลี่ยนเป็นมืดมน ไม่ว่าจะเป็นด้านต่อสู้หรือด้านความรัก มันก็ล้วนแต่ไม่ชนะหลิงฮัน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้มันรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก‘เหอะ รอให้ข้าจัดการเจ้าพวกนิกายพันศพเหล่านี้และได้รับเกียรติยศอันสูงส่งมาก่อนเถอะ’ซวนหยวนจื่อกวงกระโดดลงจากประตูเมืองและมองไปยังไป๋หยวนอย่างดูถูก “ถ้าเจ้ารับกระบวนท่าของข้าได้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”บ้าไปแล้ว!เจ้ารู้รึเปล่าว่าเปียนฮ่าวมีทหารซากศพที่มีพลังต่อสู้เทียบเท่าระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าที่มีพลังต่อสู้ถึงสิบสามดาวอยู่สี่ตัว หรือเจ้าจะบอกว่าแม้จะเป็นทหารซากศพเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนท่าของซวนหยวนจื่อกวงได้?เปียนฮ่าวกลายเป็นเกรี้ยวกราด มันคือศิษย์ระดับสูงของนิกายพันศพที่มีสายตาเอาไว้จ้องมองผู้คนจากเบื้องบน แต่ตอนนี้มันกลับถูกดูหมิ่น แล้วจะไม่ให้มันรู้สึกโมโหได้อย่างไร? แต่ก่อนที่มันจะได้ลงมือโจมตี มืออันหนักหน่วงมือหนึ่งก็กดลงที่ไหล่ของมันมันคือไป๋หยวน“อาวุโสไป๋ ได้โปรดให้ข้าเป็นคนสู้!” เปียนฮ่าวพูดไป๋หยวนส่ายหัวและพูด “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ให้ศิษย์ที่สามออกไปสู้ซะ”“ว่าไงนะ!”ศิษย์ของนิกายพันศพอุทานออกมา ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้ออกมาเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมาเป็นเวลานาน แต่ศิษย์ที่สาม จูเทียนเก้อคือศิษย์ลำดับที่สามของผู้นำนิกายพันศพและเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมันที่ต้องให้เขาออกโรง หรือว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมาก?จูเทียนเก้อก้าวออกมาและเปิดตามองไปยังซวนหยวนจื่อกวงชั่วขณะ สีหน้าของเขากลายเป็นแข็งทื่อและพูดออกไป “ชายผู้นี้เป็นคนที่เหมาแก่การสู้ด้วยจริงๆ แม้แต่ข้าก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ”เปียนฮ่าวและศิษย์คนอื่นๆตกตะลึงอีกครั้ง แม้แต่ศิษย์พี่สามก็พูดเช่นนั้น หรือว่าซวนหยวนจื่อกวงจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งหมดจริงๆ?“หากเป็นศิษย์พี่สองอาจจะชนะได้ แต่หากเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่แข็งแกร่งเทียมฟ้าล่ะก็ หมอนี่ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่นอน!” จูเทียนเก้อยิ้มเปียนฮ่าวและศิษย์คนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วยกับจูเทียนเก้อ แม้แต่พวกมันทุกคนที่เป็นอัจฉริยะยังต้องยอมแพ้ เป็นหลักฐานว่าคนที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หนึ่งแข็งแกร่งขนาดไหนจูเทียนเก้อเดินออกมา ร่างของมันไม่สูงมากแต่ดูกำยำ“แล้วทหารซากศพของเจ้าล่ะ?” ซวนหยวนจื่อกวงถาม“เมื่อจำเป็นต้องใช้ เดี๋ยวมันเจ้าก็ได้เห็นเอง” จูเทียนเก้อตอบอย่างสงบนิ่งซวนหยวนจื่อกวงแสยะยิ้ม “หากไม่มีทหารซากศพ เจ้าก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีจากข้า”“ฮ่าๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องโทษความอ่อนแอของตัวข้าเอง” จูเทียนเก้อหัวเราะผู้ฉลาดย่อมไม่ลงมืผลีผลาม แน่นอนว่าซวนหยวนจื่อกวงย่อมไม่กล้าประมาทจูเทียนเก้อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มัวเสียเวลาพูดยั่วยุและโจมตีไปแล้วซวนหยวนจื่อกวงพาดหนึ่งมือไว้ด้านหลังและพูด “ในเมื่อเจ้าไม่ใช้ทหารซากศพ งั้นข้าจะสู้กับเจ้าด้วยมือเดียว”บะ…บ้าไปแล้ว!จูเทียนเก้อแสดงท่าทีเกรี้ยวกราด อีกฝ่ายต้องการต้อนให้มันเรียกทหารซากศพออกมาด้วยมือข้างเดียว? ช่างมั่นใจในตัวเองนัก! จูเทียนเก้อเค้นเสียงเย็นชาและอ้าปาก จากนั้นมันล้วงนำฝ่ามือล้วงเข้าไปในลำคอพร้อมกับดึงดาบสีดำออกมานี่มันบ้าอะไรกัน!ทุกคนในเมืองอุทานออกมา เจ้ายากจนถึงขนาดไม่มีแหวนมิติและนำอาวุธไปเก็บไว้ในร่างกายเลยรึ?หลิงฮันแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาและพึมพำ “หรือว่าจะเป็นกายาหลอมกลั่นดั่งที่ตำนานกล่าวเอาไว้?”“อะไรคือกายาหลอมกลั่น?” จูเสวียนเอ๋อถาม นางในตอนนี้เองก็แปลงโฉมให้ดูเรียบง่ายเหมือนกับหลิงฮันเช่นกัน“การขัดเกลาอาวุธวิญญาณในร่างกายจะทำให้อาวุธวิญญาณสร้างสายโลหิตของตนเองขึ้นมาและพลังอำนาจของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล” หลิงฮันพูดและส่ายหัว “ไม่ว่าจะเป็นอาวุธวิญญาณชนิดไหน หากขัดเกลาด้วยวิธีนี้มันก็จะกลายเป็นอาวุธวิญญาณที่มีไว้สำหรับเข่นฆ่าสังหาร”ผู้คนรอบข้างฟังคำอธิบายของหลิงฮันพร้อมกับพยักหน้า มีคนไม่น้อยที่สงสัยตัวตนของหลิงฮัน รูปร่างของเจ้าก็ดูเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่ ยี่สิบห้าปีแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้รอบรู้นัก?สีหน้าของซวนหยวนจื่อกวงปรากฏร่องรอยของความสงสัย “ข้าเพิ่งเคยเห็นอะไรเช่นนี้เป็นครั้งแรก ขอให้ข้าลองทดสอบหน่อยเป็นไง?”จูเทียนเก้อถือดาบสีดำเอาไว้ในมือ ท่าทีเกียจคร้านของมันสลายหายไปและปลดปล่อยกลิ่นอายที่บ้าคลั่งออกมา “ตามที่เจ้าต้องการ!” จูเทียนเก้อขยับเท้าพุ่งเข้าใส่ซวนหยวนจื่อกวง โลหิตที่เคลือบดาบเอาไว้สาดกระจายไปทั่วพร้อมกับปลดปล่อยปราณดาบสี่เจ็ดเล่มที่มีรูปร่างเหมือนกับแส้เข้าพัวพันร่างของซวนหยวนจื่อกวง“น่าสนใจ” ซวนหยวนจื่อกวงพึมพำ มือหนึ่งของเขายังคงพาดอยู่ด้านหลังในขณะที่อีกมือหนึ่งชี้นิ้วปลดปล่อยพยัคฆ์เปลวเพลิงออกไปกัดกินปราณดาบของจูเทียนเก้อ“น่าขัน เจ้าคิดจะต่อต้านดาบมารทมิฬของข้า?” จูเทียนเก้อแสยะยิ้ม“คิดว่าข้าทำไม่ได้?” ซวนหยวนจื่อกวงพูดอย่างภาคภูมิใจ ทันใดนั้นขนาดของพยัคฆ์เปลวเพลิงก็ขยายใหญ่ขึ้นสิบฟุตและปลดปล่อยออร่าที่ร้อนระอุออกมา“อัดแน่นปราณจนเกือบกลายเป็นรัศมี!” ไป๋หยวนเผยสีหน้าประหลาดใจ “ไม่อาจดูถูกชายหนุ่มผู้นี้ได้เลย ก่อนหน้านี้เขาจงใจปกปิดความสามารถเอาไว้!”รัศมีคือการควบแน่นกันของปราณ ก่อนหน้านี้ตอนที่จักรพรรดิพิรุณควบแน่นปราณหมัดได้สำเร็จ เขาที่มีพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบานขั้นหนึ่งสามารถต่อกรกับสัตว์อสูรราชันระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัศมีนั้นแข็งแกร่งขนาดไหนแม้พยัคฆ์เปลวเพลิงจะไม่ใช่รัศมี แต่เกิดจากกันอัดแน่นกันของปราณหมัดทั้งสิบสอง พลังของมันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่ดีหลิงฮันอดที่จะพยักหน้ายอมรับไม่ได้ ความคิดของซวนหยวนจื่อกวงนับว่าฉลาดไม่น้อย เขากระตุ้นปราณให้อัดแน่นกันจนกลายเป็นกึ่งรัศมี ถ้าหากว่าปราณยังไม่กลายเป็นรัศมีที่แท้จริง ซวนหยวนจื่อกวงก็ยังสามารถฝึกฝนปราณให้มีจำนวนมากกว่านี้ก่อนที่จะควบแน่นให้กลายเป็นรัศมีที่แท้จริง
คอมเม้นต์