ตอนที่ 260-1 ท่านเสนาบดีฉินออกจากเมืองหลวง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ตอนที่ 8 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

 /nวันที่ญาติผู้หญิงตระกูลซูถูกขาย เสิ่นเวยพาเสิ่นเจวี๋ยกับเสิ่นอี้มาดูด้วยเช่นกัน พวกเขานั่งอยู่ในเรือนข้างชั้นสองของโรงหมอข้างถนน ก้มลงมองแท่นสูงที่อยู่ไม่ไกล/nเหล่าฮูหยินคุณหนูอี๋เหนียงที่เคยสวมเครื่องประดับเต็มศีรษะบุคลิกหน้าตาดี ตอนนี้แต่ละคนผมเผ้ารุงรังใบหน้ามอมแมมเสื้อผ้าขาดวิ่นขดตัวเพราะความหนาว ไม่ต่างอะไรจากขอทานหนึ่งกลุ่ม/nอย่างไรเสียเสิ่นเจวี๋ยกับเสิ่นอี้ก็อายุน้อย สีหน้าทนมองไม่ได้ เสิ่นเวยจึงกล่าว “เห็นแล้วหรือยัง นี่เป็นผลมาจากเหล่านายท่านในตระกูลทำชั่ว พวกเขาตายก็ตายแล้ว แต่กลับลากภรรยาบุตรสาวบุตรชายให้ลำบากไปด้วย บ่าวรับใช้เป็นง่ายเพียงนั้นเลยหรือ โดยเฉพาะญาติขุนนางต้องโทษ ตกอยู่ในมือคนที่มีความชอบผิดแปลก อาจจะได้รับความทรมานและความอับอายอย่างไรก็ได้ กรมดนตรีอยู่ง่ายเพียงนั้นเลยหรือ ญาติขุนนางต้องโทษจำนวนมากฆ่าตัวตายในคืนนั้น ไม่ใช่เพราะว่าทนรับความอัปยศไม่ได้หรอกหรือ” ล้วนแต่เป็นสตรีบริสุทธิ์ทรงเกียรติ ทั้งยังเคยอยู่ดีกินดีได้รับความรักความโปรดปรานมาก่อน เพียงแค่หลุมนั้นทางด้านจิตใจพวกนางก็ก้าวข้ามไม่ได้แล้ว/nเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวต่อ “วันนี้ข้าพาพวกเจ้ามาดู ก็ไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่อยากบอกพวกเจ้าว่า หลังจากนี้พวกเจ้าต่างก็ต้องเดินเข้าสู่หนทางการเป็นขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นในด้านการปฏิบัติตัวหรือเป็นขุนนางล้วนแต่ต้องเดินในเส้นทางที่สว่างไสว ก่อนหน้าการตัดสินใจทุกครั้งต้องคิดถึงภรรยาลูกๆ พี่น้องทั้งหลายในตระกูลก่อน”/nขณะที่กำลังพูด บนแท่นสูงข้างล่างก็วุ่นวายพักหนึ่ง เสียงที่แหลมเปรียวเสียงหนึ่งกำลังตะโกน “สยาเอ๋อร์ สยาเอ๋อร์!” ที่แท้แล้วข้างล่างก็มีสตรีผู้หนึ่งทนรับความอัปยศไม่ได้ฉวยโอกาสตอนที่คนไม่สังเกตล้วงปิ่นปักผมที่ซ่อนไว้ออกมาแทงลำคอทันที/nทหารผู้คุมสถบหนึ่งครา จากนั้นจึงส่งคนมาลากออกไป หญิงชราผู้นั้นวิ่งตามได้สองก้าวก็ถูกทหารกั้นกลับมา สะดุดล้มลงกับพื้น ยื่นมือร้องเรียกชื่อของลูกสาว ร้องไห้สะอึกสะอื้น ในฤดูร้อนที่อบอ้าวทำให้ในใจคนเย็นยะเยือกอย่างอดไม่ได้/n“ท่านพี่ท่านวางใจ หลักการเหล่านี้พวกข้าจะจำไว้ ไม่มีทางก้าวพลาดแน่นอน” เสิ่นเจวี๋ยกล่าวอย่างตั้งใจจริง เสิ่นอี้เองก็พยักหน้าตามเช่นกัน/nเสิ่นเวยเห็นแล้วก็ชื่นชมอย่างถึงที่สุด ให้กำลังใจพวกเขาหลายประโยค กล่าวต่อ “ปีนี้น้องเจวี๋ยก็อายุสิบสองแล้ว แม้จะได้รับคุณวุฒิบัณฑิตรุ่นเยาว์แล้ว แต่ก็ไม่อาจทะนงตนได้ ต้องรู้ว่าในอดีตมีเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์มากน้อยเพียงใดที่โตมาแล้วไม่ได้ต่างจากผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นน้องเจวี๋ยความสามารถเจ้าก็นับได้ว่าอยู่ระดับกลางๆ ยังต่างชั้นจากผู้มีพรสวรรค์อยู่มาก สอบเป็นบัณฑิตรุ่นเยาว์ได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ยังต้องสงบเสงี่ยมไว้ ตั้งใจร่ำเรียน พยายามสอบขั้นฝูซื่อให้ผ่านเป็นซิ่วไฉภายในสองปี”/nจากนั้นก็กล่าวกับเสิ่นอี้ต่อ “น้องอี้เจ้าอายุน้อยกว่าเจวี๋ยเอ๋อร์สองปี ยิ่งไม่ต้องรีบร้อน ตั้งใจเรียนหนังสือกับอาจารย์ให้ดี โตกว่านี้อีกสองปีก็ลงสนามสอบดู แม้จะสอบไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร เจ้าอายุยังน้อย เพียงแค่ลงสนามฝึกความกล้าไว้ ถึงแม้ว่าฮูหยินจะต้องโทษ แต่อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นบุรุษบ้านสามของพวกเรา พวกเราบ้านสามมีเพียงพวกเจ้าสองพี่น้อง จะต้องปกป้องช่วยเหลือกันและกัน ช่วยกันประคับประครอง เช่นนี้บนหนทางการเป็นขุนนางจึงจะเดินได้ไกลยิ่งขึ้น”/nเสิ่นเจวี๋ยกับเสิ่นอี้พยักหน้าพร้อมกัน โดยเฉพาะแววตาของเสิ่นอี้ที่มีความเคารพเลื่อมใสปรากฎออกมา คำพูดเหล่านี้มีเพียงพี่สี่ที่เคยพูดกับเขา มารดาและพี่ห้าเมื่อเห็นเขาก็เอาแต่พูดเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อเหล่านั้น บ้างก็ว่าต้องเด่นกว่าคนอื่น บ้างก็ให้กอบโกยความรักจากท่านพ่อ บ้างก็พูดถึงมรดกต่างๆ นานา อาจารย์เคยบอกว่า ‘บุรุษที่ดีไม่อาจกินข้าวบ้าน’ เหนือเขายังมีพี่ชาย มรดกจะเป็นของเขาเพียงผู้เดียวได้อย่างไร เมื่อเขาโตขึ้นสอบผ่านสร้างชื่อเสียงผลงานเข้าสู่หนทางการเป็นขุนนางได้แล้ว ทรัพย์สินมากน้อยไหนเลยจะแย่งกลับมาไม่ได้ เขาเป็นบุรุษ ก็ควรทำตนให้น่าเกรงขาม จะมีจิตใจคับแคบจับจ้องแต่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แค่นั้นเหมือนเช่นสตรีได้อย่างไร/nฟังฮูหยินที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยเตรียมออกจากบ้านก็ถูกสามีฟังจ้งขังอยู่ในบ้านไม่ให้ออก แม้แต่พ่อบ้านที่นางแอบส่งออกไปซื้อคนก็ถูกลากกลับมาแล้ว/nฟังฮูหยินร้องขอด้วยสีหน้าร้อนใจ “นายท่าน เรื่องในแวดวงขุนนางข้าไม่ยุ่ง และไม่กล้ายุ่ง น้องเขยถูกตัดสินโทษประหารชีวิตแล้ว น้องสาวกับสยาเอ๋อร์ญาติผู้หญิงเหล่านี้เพียงแค่ได้รับผลกระทบ ข้าไม่อาจปล่อยพวกนางร่อนเร่ออกไปได้ นายท่านอยากเลี่ยงไม่ให้ถูกสงสัย เช่นนั้นก็ให้ข้าออกหน้า อย่างไรเสียใช้เงินซื้อพวกนางไว้ก็จะได้ดูแลอย่างดี”/nตอนที่ฟังฮูหยินแต่งเข้ามา น้องสาวคนเล็กผู้นี้ของฟังจ้งอายุเพียงหกปี ซ้ำมารดาของฟังจ้งก็ป่วยติดเตียงตลอดทั้งปี ดังนั้นน้องสาวคนเล็กแซ่ฟังจึงมีฟังฮูหยินเลี้ยงดูจนเติบโต เป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้ แต่ความจริงแล้วสนิทเหมือนแม่ลูก น้องสาวคนเล็กแซ่ฟังแทบจะนับได้ว่าเป็นบุตรสาวคนโตของนาง ตอนนี้น้องสาวคนเล็กแซ่ฟังประสบหายนะครั้งใหญ่ นางจะไม่กระวนกระวายใจได้อย่างไร/n“นายท่าน ท่านให้ข้าไปเถิด ข้าไม่พาพวกนางกลับมาที่จวน แต่จะเลี้ยงพวกนางไว้ในหมู่บ้าน” ฟังฮูหยินร้องขอต่อ น้ำตาไหลลงมาแล้ว เวรกรรม! น้องสาวที่นางรักและดูแลจนเติบใหญ่! อยู่ในคุกยังไม่รู้ว่าได้รับความลำบากมากน้อยเพียงใด ตอนนี้โทษตัดสินแล้ว จะไม่อนุญาตให้นางดูแลสักหน่อยหรือ/n“เจ้าเสียสติแล้วหรือ เจ้าจะทำลายตระกูลฟังหรือไร ไม่คิดดูบ้างว่าน้องเขยต้องโทษอันใด ญาติของเขาพวกเรายื่นมือเข้าไปได้หรือ ตอนนี้ยังไม่ทันเลี่ยงไม่ให้ถูกสงสัย เจ้าก็จะวิ่งเข้าไปแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าในที่ลับมีดวงตาคอยจับจ้องอยู่มากน้อยเพียงใด ห้ามไป!” เผชิญหน้ากับการรบเร้าไม่เลิกราของฮูหยิน ฟังจ้งรู้สึกเพียงเหนื่อยล้ากายใจ/nฟังฮูหยินถลึงตาโตอย่างเหลือเชื่อ “นายท่าน นั่นคือน้องสาวแท้ๆ ของท่าน น้องสาวคนเล็กที่พวกเราเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต!”/n“แล้วข้าไม่รู้หรือไร แต่ก็ไม่อาจลำบากพวกเราเพราะนาง น้องคนเล็กมีเหตุผล จะต้องเข้าใจความลำบากใจของพวกเราแน่นอน” ฟังจ้งกล่าวด้วยความเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด นั่นคือน้องสาวแท้ๆ ของตน ในใจเขาเองก็ลำบากใจ “ฮูหยิน นึกถึงลูกชายของพวกเรา เขาเพิ่งจะแต่งงานได้หนึ่งปี ภรรยาเขากำลังตั้งครรภ์อยู่ เจ้าตัดใจให้พวกเขาเข้าไปพัวพันได้หรือ”/nประโยคนี้โจมตีฟังฮูหยินทันที นางล้มลงบนเตียงกุมหน้า น้ำตาไหลลงข้างแก้มราวกับลำธารสายเล็ก เดียรัจฉาน เดียรัจฉาน ล้วนแต่เป็นเดียรัจฉานทั้งหมด! ไม่รู้เหมือนกันว่าหมายถึงใคร/nฟังจ้งมองฮูหยินปราดหนึ่ง สั่งสาวใช้ “ดูแลฮูหยินให้ดี” ถอนหายใจเดินออกไป/nเมื่อข่าวการตายของสยาเอ๋อร์หลานสาวตาส่งกลับมา ฟังฮูหยินก็เป็นลมทันที หลังจากฟื้นแล้วก็ร้องไห้ไม่หยุด น้องสาวคนเล็กแซ่ฟังมีเพียงบุตรชายหนึ่งคนบุตรสาวหนึ่งคน ลูกชายอายุมากหน่อย ถูกตัดศีรษะแล้ว ข้างกายนางเหลือเพียงลูกสาวคนเดียวเช่นนี้ ตอนนี้ลูกสาวไม่อยู่แล้ว น้องสาวคนเล็กจะยังมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร/nนึกถึงน้องสาวคนเล็กผู้มีชะตาขื่นขม ในใจฟังฮูหยินก็โศกเศร้าจนพูดไม่ออก หากรู้ว่าสยาเอ๋อร์จะคิดสั้น ต่อให้นางจะต้องสู้จนถูกนายท่านทอดทิ้งก็ต้องไปซื้อพวกนางแม่ลูกเอาไว้ให้ได้!/nฟังฮูหยินร้องไห้พักหนึ่ง หัวเราะพักหนึ่ง คืนนั้นก็ป่วยแล้ว ไข้ขึ้นสูงอย่างยิ่ง ตะโกนเรียกชื่อของน้องสาวคนเล็ก เสียงร้องแหลมเปรียว/nชั่วพริบตาก็เข้าเดือนแปดแล้ว อีกไม่ช้าการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูที่มีสามปีครั้งก็จะมาถึงแล้ว เซี่ยหมิงผู่ที่เรียนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยชิงซานก็สอบได้เป็นซิ่วไฉแล้ว ทั้งยังได้อันดับหนึ่งอีกหน่วย ปีนี้เขาจะเข้าร่วมการสอบขุนนางระดับเขต ตามกฎ เขาต้องเข้าร่วมการสอบที่หัวเมืองตามทะเบียนบ้าน เพราะว่าสถานการณ์ของเขาพิเศษเล็กน้อย ไม่สะดวกกลับไปเจียงหนานแล้ว เสิ่นเวยจึงช่วยย้ายเขาเข้าทะเบียนบ้านที่อำเภอผิงหยางใหม่ เขาต้องสอบเป็นจวี่เหรินให้ได้จึงจะสามารถมาเมืองหลวงเข้าร่วมการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในช่วงวสันตฤดูเดือนสองปีหน้าได้/nตั้งแต่ที่ฉาฮวารู้ว่าพี่ชายของนางจะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูเดือนแปดนางก็นับนิ้วรอวัน ตั้งหน้าตั้งตารอพี่ชายนางมาเมืองหลวงทุกวัน เสิ่นเวยก็แหย่นาง “ฉาหวา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพี่ชายเจ้าจะสอบเป็นจวี่เหรินได้อย่างราบรื่น” หากสอบไม่ได้ย่อมไม่สามารถมาเมืองหลวงเข้าร่วมการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในช่วงวสันตฤดูเดือนสองปีหน้าได้/nใครจะรู้ฉาฮวากล่าวด้วยมาดจริงจัง “จวิ้นจู่ พี่ชายข้าฉลาดจะตายไป จะต้องสอบเป็นจวี่เหรินได้แน่นอน” อาจเป็นเพราะโตขึ้นแล้ว หรืออาจเป็นเพราะเสิ่นเวยสั่งสอนนางอย่างสุดความสามารถ ฉาฮวาจึงไม่ขี้ขลาดเขินอายเหมือนเช่นเมื่อก่อนแล้ว แม้ว่าจะยังมีนิสัยสงบเสงี่ยมอยู่ แต่ก็สามารถช่วยเสิ่นเวยจัดการเรื่องง่ายๆ ได้จำนวนหนึ่งแล้ว กลอนกวีศิลปะอักษรก็ร่ำเรียนได้ไม่เลว แม้นางจะยังเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่สูงส่งนั้นอยู่ แต่ก็เป็นเช่นนี้แล้ว/nเสิ่นเวยสั่งสอนนางดีอย่างยิ่ง นางก็เป็นคนที่มีจิตใจดีรู้จักสำนึกบุญคุณ ติดเสิ่นเวยอย่างมาก เดิมทีอักษรนางเขียนไม่ค่อยคล่อง แต่เป็นเพราะเสิ่นเวยบอกว่า ‘อักษรก็คือใบหน้าของคน’ นางก็พยายามฝึกคัดอักษรทั้งวันทั้งคืน เพราะว่าเสิ่นเวยมีวรยุทธ์ที่ไม่เหมือนใคร ทุกวันตอนเช้านางจึงตื่นเช้าตามไปฝึกด้วยตัวเอง หกล้มบาดเจ็บไม่เคยร้องไห้สักครั้ง/nบางครั้งเสิ่นเวยเห็นฉาฮวาที่เป็นเช่นนี้ก็ชื่นชมมากเป็นพิเศษ กล่าวในใจ เซี่ยหมิงผู่เด็กคนนั้นต้องขอบคุณนางให้ดีเสียแล้ว/nอ้อ จริงสิ ผู้ที่เข้าร่วมการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในเดือนสองปีหน้ายังมีเสิ่นเซ่าจวิ้นหมู่บ้านตระกูลเสิ่นอีกด้วย สามปีก่อนเขาสอบเป็นจวี่เหรินได้แล้ว เพราะว่าไม่มั่นใจในการสอบขั้นฮุ่ยซื่อจึงไม่ได้เข้าร่วมการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในปีนั้น แต่กลับเรียนต่ออีกสามปี เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้ในปีหน้าพร้อมกับเซี่ยหมิงผู่/nเสิ่นเวยคิดว่าผ่านการสอบคัดเลือกในช่วงสารทฤดูไปการสอบคัดเลือกในช่วงวสันตฤดูก็อยู่ไม่ไกลแล้ว นอกจากจะเสียเวลาระหว่างการเดินทางแล้ว มาถึงเมืองหลวงยังต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมอีก เวลาสั้นไปยุ่งอย่างยิ่ง ดังนั้นเสิ่นเวยจึงส่งจดหมายให้เขาเข้าเมืองหลวงมาก่อนล่วงหน้า นับวันดู ก็น่าจะภายในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว/nสามปีก่อนหลังจากที่เสิ่นเซ่าจวิ้นสอบได้เป็นจวี่เหรินก็ไปยังวิทยาลัยชิงซาน ศึกษาต่างจากเซี่ยหมิงผู่ เขาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยสอนที่วิทยาลับชิงซาน สอนนักเรียกไปพลาง ร่ำเรียนกับนักปราชญ์ราชบัณฑิตในวิทยาลัยไปพลาง ทั้งสอนทั้งเรียน หลายปีมานี้ก็พัฒนาอย่างมาก/nได้รับจดหมายจากเสิ่นเวยผู้เป็นน้องสาวเขาก็ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยสอน กลับไปยังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นเที่ยวหนึ่งก่อน บอกเจตนาของน้องสาว ทั้งตระกูลต่างก็ให้การสนับสนุนอย่างยิ่ง ปู่เขาหัวหน้าตระกูลสกุลเสิ่นกล่าว “ในเมื่อน้องเวยของเจ้าวางแผนให้เจ้าดีแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงบ้าน ไปถึงเมืองหลวงเจ้าก็เชื่อฟังปู่น้อยกับน้องเวย น้องเวยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากราชวงศ์ให้เป็นจวิ้นจู่แล้ว สามีที่แต่งงานด้วยก็เป็นจวิ้นอ๋อง เป็นเกียรติสูงสุดแห่งตระกูลเสิ่นของพวกเรา ตั้งแต่เล็กนางก็ฉลาด มีนิสัยรอบคอบ พวกเราเห็นมากับตา เจ้าเชื่อฟังนางไม่มีผิด มีนางวางแผนให้เจ้า ปู่ก็วางใจอย่างยิ่ง”/nแบกความหวังอันแรงกล้าและคำตักเตือนของคนในตระกูล เสิ่นเซ่าจวิ้นก็ก้าวเดินไปบนเส้นทางสู่เมืองหลวงเพื่อไปสอบ/n

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด