Alchemy Emperor of the Divine Dao ตอนที่ 1112
พวกเส้าซือซือและเซี่ยอู๋เฉียนสามารถเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆของจักรวาลนี้ ที่จริงการที่พวกเขาทั้งเจ็ดรวมกลุ่มกัน ต่อให้ไม่มีอีกสามคนพวกเขาก็สามารถสมควรเข้าร่วมการทดสอบได้แล้วการทดสอบที่นี่น่าจะเหมือนกับรูปแบบอาคมรูปปั้นหินที่จำกัดระดับพลังเอาไว้ เพราะไม่งั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธระดับภูผาวารีจะผ่านการทดสอบระดับสุริยันจันทราได้สำเร็จ นอกจากจะไม่สำเร็จแล้วผลลัพธ์อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตด้วยดังนั้นต่อให้ขาดคนไปหนึ่งหรือสองคนก็ไม่น่าจะเป็นปัญญาต่อพวกเขาเหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงรวมตัวกันเป็นเพราะต้องการสร้างความรู้จักกัน เพราะอย่างไรพวกเขาก็มีชะตะต้องไปพบกันอีกครั้งที่นิกายสวรรค์เยือกแข็ง การได้รู้จักอัจฉริยะคนอื่นๆย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวพวกเขาเอง“อืม งั้นก็ไปกันเถอะ”เมื่อนับหลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่และผู้ติดตามคนหนึ่งของเซี่ยอู๋เฉียน พวกเขาก็ครบสิบคนพอดีพวกเขาเดินเคียงข้างกันเข้าไปยังประตูทางเข้าด่านทดสอบของชั้นหนึ่งทิวทัศน์เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเข้ามา รอบด้านของพวกเขากลายเป็นห้องโถงที่ว่างเปล่าโดยมีเสาหินมากมายตั้งอยู่ รอบๆด้านไม่ได้มืดมิดไปเสียทีเดียวเนื่องจากเสาหินเหล่านั้นปล่อยแสงสว่างออกมา“นายท่าน จักรพรรดิน้อยขยับไม่ได้!” จู่ๆจักรพรรดิจอมอสูรก็กล่าวขึ้น “ข้าน้อยขยับไม่ได้เมื่อสิงอยู่ในหุ่นเชิดตัวนี้”หลิงฮันพยักหน้า ดูเหมือนว่าจำนวนจำกัดสิบคนและระดับพลังบ่มเพาะต้องเท่ากันนั้น ต่อให้เป็นหุ่นเชิดก็นับรวมเช่นกัน เขานำยันต์อาคมเหล็กไหลหรือยันต์อาคมราชสีห์คลั่งออกมาลองใช้งานดูก็พบว่ายันต์ทั้งสองนี้ใช้งานไม่ได้ที่นี่ไม่สามารถใช้งานสมบัติหรืออุปกรณ์มิติที่เหนือกว่าระดับภูผาวารีหลิงฮันประหลาดใจ ถ้าหอคอยแห่งนี้เป็นอุปกรณ์มิติ สติปัญญาของมันคงจะฉลาดมากเป็นแน่“ของเลียนแบบช่างน่ารังเกียจ” หอคอยน้อยเค้นเสียงไม่พอใจ ด้วยนิสัยยิ่งยโสของมันทำให้มันไม่พอใจอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นที่เป็นหอคอย“ทุกคนระวังตัวด้วย!” ตูอันกล่าวเตือน ถึงแม้พวกเขาทั้งแปดจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธระดับภูผาวารี แต่อีกสองคนไม่ใช่ หากทั้งสองได้รับอันตราบที่ไม่คาดฝันทั้งกลุ่มก็จะจบสิ้น“ที่นี่มีอะไรอันตรายด้วยงั้นรึ?” เซี่ยอู๋เฉียนปลดปล่อยพลังปราณออกมารอบตัวราวกับคลื่นน้ำนี่ไม่ใช่การโมตีแต่เป็นการตรวจสอบพื้นที่รอบๆ ที่แห่งนี้สัมผัสสวรรค์ได้ถูกจำกัดเอาไว้ เขาจึงต้องใช้ปราณก่อเกิดตรวจสอบอันตรายแทน“หืม?” เขาขมวดคิ้วและชี้ไปยังมุมหนึ่ง “มีอะไรบางอย่างตรงนั้น”ทั้งสิบคนหยุดชะงักและเดินไปยังทิศทางนั้นพร้อมกัน เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ สิ่งแรกที่พวกเขาพบคือกองโลหิตที่มีร่างคนหกคนนอนอยู่“ดูจากสภาพของศพเหล่านี้แล้ว พวกเขาคงจะถูกสังหารโดยสัตว์อสูร พวกเขาตายด้วยการโจมตีด้วยกรงเล็บเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” ตูอันพิจารณาในขณะที่มองไปยังกองโลหิต “พวกเขาตายไปได้ไม่นานเพราะยังหลงเหลือกลิ่นเลือดทิ้งไว้อยู่”“ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นกลุ่มคนที่เข้ามาที่นี่ก่อนพวกเรา” เส้าซือซือพยักหน้าทั้งสิบคนแสดงสีหน้าระมัดระวัง ภัยอันตรายที่ไม่รู้ว่าคืออะไรคือสิ่งที่อันตรายที่สุด“อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไร มุ่งหน้าต่อกันเถอะ”พวกเขาเดินหน้าต่อ ในขณะเดินอยู่พวกเขาหาเรื่องต่างๆมาพูดคุยกัน แต่เพราะเพิ่งรู้จักกันจึงไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันเยอะ ผ่านไปไม่นานเสียงคุยก็หยุดลงเหลือเพียงเสียงฝีเท้าเสาหินส่องสว่างคอยชี้ทางเดินให้พวกเขาและทำให้เกิดเงาในขณะที่เคลื่อนไหวหลิงฮันรู้สึกเบื่อจึงนับเงาบนพื้นเล่น หนึ่ง สอง สาม สี่… เก้า สิบ สิบเอ็ดมีเงาเกินมาหนึ่งเงาเขารู้สึกตกใจมาก เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีเงาสิบเอ็ดเงา? พวกเขามีกันแค่สิบคน… ถ้าหากมีเงาสิบเอ็ดเงาก็แสดงว่ามีคนเพิ่มมาหนึ่งคนเมื่อคิดเช่นนี้หลิงฮันก็รู้สึกขนลุก แปดในสิบคนของกลุ่มเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับพลังเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับถูกคนอื่นปะปนอยู่ด้วยโดยไม่รู้ตัว! ที่หลิงฮันรู้สึกตัวก็เพราะเขาเบื่อจึงบังเอิญนับเงาเล่น“หยุดก่อน” เขากล่าวทั้งกลุ่มหยุดเท้าด้วยความมึนงง พวกเขาเดินอยู่โดยไร้อุปสรรคทำไมถึงต้องให้หยุด?“มีอะไร?” เซี่ยอู๋เฉียนเค้นเสียงไม่พอใจ เขารังเกียจหลิงฮันอย่างมาก ถึงแม้การรวมกลุ่มครั้งนี้จะทำให้เขามีโอกาสใกล้ชิดสุ่ยเยี่ยนยวี่ แต่เขาก็ยังไม่สบอารมณ์ที่หลิงฮันอยู่ที่นี่อยู่ดีหลิงฮันสะบัดมือ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องผ่านไปด้วยกันทั้งกลุ่มสิบคน เขาคงเมินเคยคนเช่นนี้ไปแล้ว“เกิดอะไรขึ้น?” สุ่ยเยี่ยนยวี่รีบถาม“ที่นี่มีคนอยู่สิบคนจริงๆรึ!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ฮ่าๆๆ น้องชายหลิง เจ้ากังวลมากไปรึเปล่า?” เฉียนหลี่เสวี่ยนหัวเราะเพื่อไว้หน้าหลิงฮัน ไม่เช่นนั้นเขาคงสบถด่าไปแล้ว ถ้าที่นี่ไม่มีคนอยู่สิบคนจะมีเก้าคนหรือสิบเอ็ดคนรึไง?เขาเริ่มสงสัยแล้วว่า คนแบบนี้น่ะรึสามารถผ่านด่านทั้งหมดของรูปแบบอาคมรูปปั้นหินได้?หลิงฮันจ้องมองพื้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังกว่าเดิมและกล่าว “งั้นก็ลองนับดูว่ามีเงาอยู่บนพื้นที่เงา”“หลิงฮัน พอได้แล้ว!” เซี่ยอู๋เฉียนพอใจหลิงฮันอยู่แล้วังนั้นจึงกล่าวสบถออกไปโดยไม่ต้องคิดถึงแม้คนอื่นๆจะไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของพวกเขาก็บอกสิ่งที่คิดออกมาแล้ว“เดี๋ยวก่อน!” เส้าซือซือชะงักและกล่าว “ลองไปมองที่เงาบนพื้นดูก่อน!”เมื่อได้ยินที่นางพูด คนอื่นๆก็มองไปที่พื้นด้วยท่าจริงจัง ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปสิบเอ็ดเงา!เป็นไปได้อย่างไร? กลุ่มของพวกเขามีกันสิบคนแน่ๆ แต่ทำไมถึงมีเงาสิบเอ็ดเงา?“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…” ทุกคนเริ่มนับคนในกลุ่มตัวเอง จำนวนที่นับได้คือสิบคนชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเงาบนพื้นกลับมีสิบเอ็ดเงาหลิงฮันสงบใจและกล่าวออกมา “ทุกคนลองขยับตัวดู”คนอื่นพยักหน้าและยกมือขึ้น เงาบนพื้นเปลี่ยนสภาพไปตามท่ายกมือของทุกคน แต่ปัญหาก็คือเงาทั้งสิบคนเงาเปลี่ยนไปเหมือนกันหมด“ทีละคน” หลิงฮันยกมือคนเป็นคนแรกหลังจากนั้นคนอื่นก็ค่อยๆยกมือต่อกันทีละคน สอง สาม สี่… แปด เก้า สิบ‘พรึบ’ สายตาของทุกคนมองไปยังเงาที่ไม่ขยับ“ตาย!” หลิงฮันนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาพร้อมโคจรปราณก่อเกิดกระตุ้นใช้งานอักขระศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นปราณดาบมากมายก็ถูกฟันออกไป ปราณแต่ละเล่มนั้นหนักหน่วงราวกับภูเขาและมีเปลวเพลิงผสานอยู่ทำให้ปราณดาบแต่ละเล่มมีรูปร่างคล้ายนกเพลิงหลิงฮันเชี่ยวชาญทั้งอักขระศักดิ์สิทธิ์แรงโน้มถ่วงและเปลวเพลิง ตอนนี้เขาสลักอาคมทั้งสองลงไปยังดาบอสูรนิรันดร์เพื่อให้ดาบสามารถเรียกใช้งานอักขระเหล่านี้ได้ตูม!ปราณดาบกระหน่ำจู่โจมราวกับห่าฝนทุกคนมองไปยังตำแหน่งที่ปราณดาบโจมตีใส่และพบว่าเงาบนพื้นกลับมามีจำนวนสิบเงา เงาลึกลับหายตัวไปโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว
คอมเม้นต์