Alchemy Emperor of the Divine Dao ตอนที่ 738

อ่านนิยายจีนเรื่อง Alchemy Emperor of the Divine Dao ตอนที่ 738 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

หากเจ้าต้องการเข้าค่ายทหาร เจ้าจะต้องพิสูจณ์ว่าเป็นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ ถ้าเจ้ายังไม่สามารถบรรลุระดับนี้จะไม่ได้รับโอกาสเข้าร่วมการประเมิน
หลิงฮันเดินไปข้างหน้าและพบว่ามีจอมยุทธที่แข็งแกร่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มาเข้าร่วมกองทัพ
พวกเขามีทั้งหมดสี่คน คนที่แก่สุดดูมีอายุประมาณหกสิบปีที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ ถัดไปคือชายวัยกลางคนที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเช่นกัน ถัดไปคือชายหนุ่มที่ดูจากรูปลักษณ์แล้วน่าจะมีอายุเกือบสามสิบปี เขาเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด ระดับพลังของเขาคือระดับบุปผาผลิบานเท่านั้น ส่วนคนสุดท้ายเป็นหญิงสาวรูปงามที่เป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเช่นกัน
เมื่อเทียบกับคนที่เหลือแล้วคนที่ทะลวงผ่านระดับตัวห้วงจิตวิญญาณและระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแล้ว ทำให้พวกเขาทั้งสี่คนโดดเด่นขึ้นมาทันที
หลิงฮันมีเทคนิคลับพิเศษทำให้ระดับพลังของเขาไม่เด่นชัด แต่จูเสวี่ยนเอ๋อที่อยู่จุดสูงสุดของระดับบุปผาผลิบานทำให้เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน โชคดีที่นางแปลงโฉมทำให้หน้าตาดูธรรมดาไม่เช่นนั้นผู้คนที่อยู่ที่นี่จะต้องบ้าคลั่งเพราะเสน่ห์ของนาง
บรรดาผู้คนที่มาถึงต่างเข้าไปในค่ายทหารทีละคนทีละคน หลังจากที่หลิงฮันปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาเล็กน้อย แน่นอนว่าก็เพียงพอที่จะให้เขาเข้าไปข้างในได้แล้ว ส่วนฮูหนิวนั่งอยู่ในห้องโถงชั่วคราวกับเจ้ากระต่ายและเริ่มกินและดื่มอย่างสนุกสนาน
หลังจากนั้นได้มีชายวัยกลางคนก้าวออกมา ระดับพลังของเขาคือระดับตัวอ่อนวิญญาณ ซึ่งได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่หนาวเย็นออกมา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาผ่านเรื่องโหดร้ายอะไรมาบ้าง มันทำให้หัวใจของทุกคนรู้สึกหนาวเย็นและขาไร้เรี่ยวแรง
“พวกข้าไม่ต้องการพวกไร้ประโยชน์ในกองทัพจักรวรรดิม่วง!” เขาเริ่มกล่าว “ข้ามีนามว่าเซียวหย่งเหนียนเป็นอาจารย์ของพวกเจ้า พวกเจ้ามีเวลาสองเดือนที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าทำไมข้าถึงต้องรับพวกเจ้าเป็นทหาร!”
“ประตูของค่ายทหารอยู่ตรงนั้น ผู้ที่ไร้ความสามารถ…ข้าจะขับไล่ออกไปทันที!”
“บอกข้ามา พวกเจ้าเป็นพวกไร้ประโยชน์หรือไม่?”
ทุกคนรู้สึกโกรธอยู่ในใจ แม้ว่าที่นี่จะมีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานอยู่ไม่กี่คน แต่อย่างน้อยก็มีจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณและระดับแก่นแท้จิตวิญญาณอยู่หลายคน ถ้าพวกเขาไร้ประโยชน์ เช่นนั้นมาตฐานของเขาคงจะสูงเป็นอย่างมาก
“ไม่!” ทุกคนส่งเสียงเกือบจะพร้อมเพรียงกัน
“ดีมาก ข้าเองก็หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ไร้ประโยชน์ เพราะคนที่ข้าเกลียดที่สุดคือคนที่ไร้ประโยชน์!” เซียวหย่งเหนียนกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่เบื้องหน้า “ที่นี่น่าจะมีคนทั้งหมดห้าร้อยสามสิบคน แต่ในความคิดเห็นของข้าจะมีเพียงแค่ห้าสิบคนเท่านั้นที่ผ่าน จากนี้เป็นต้นไปข้าจะฝึกฝนพวกเจ้าอย่างหนัก ในสายตาของข้าไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คนแก่หรือเด็กก็ไม่แตกต่างกัน มีเพียงแค่คนที่มีคุณสมบัติบัติเพียงพอกับคนที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น ใครที่จะเปลี่ยนใจตั้งแต่ตอนนี้ข้าอนุญาตให้ออกไปจากที่นี่ได้ทันที!”
ในขณะนั้น มีบางคนที่ต้องการจะจากไป แต่เมื่อได้ยินคำพูดพูดยั่วยุ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะสู้ ถ้าพวกเขาจากไปตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นพวกไร้ประโยชน์หรอกหรือ?
ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่เดินจากไป
“ยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่อยากกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าสามารถตัดสินใจเอาเองได้ แต่เป็นข้า!”  เซียวหย่งเหนียนแสยะยิ้ม “ในฐานะทหาร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเชื่อฟังคำสั่ง แม้ว่าเบื้องหน้าจะเป็นภูเขาไฟ ถ้าถูกสั่งให้เดินไปข้างหน้า พวกเจ้าก็ไม่สามารถเดินถอยหลังได้!”
“เอาล่ะ พวกเจ้าจงทำท่าม้านั่ง!”
ท่าม้านั่ง?
นี่เป็นการฝึกที่ง่ายเกินไปแล้ว ใครจะไม่เคยผ่านระดับหลอมกายามาก่อน? แล้วใครจะไม่เคยผ่านท่าม้านั่ง?
คนส่วนใหญ่รีบทำท่าม้านั่งทันที แต่ก็มีหลายคนแสดงสีหน้าไม่พอใจ
“ออกไป!” เซียวหย่งเหนียนโยนผู้คนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งออกมา พวกเขาถูกโยนออกไปด้านนอกประตูและล้มลงกับพื้นเหมือนกับสุนัข
ทุกคนเกิดความรู้สึกบางอย่างลึกอยู่ในใจ นี่คือจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ!
ตุบ ตุบ ตุบ ทหารสิบคนวิ่งออกมาจากค่ายทหาร ระดับพลังของพวกเขาคือระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ พวกเขานำรถม้าออกมาและมีกระดาษจำนวนมากอยู่ด้านใน
“พวกเจ้าคิดว่าท่าม้านั่งมันง่ายอย่างนั้นรึ?” เซียวหย่งเหนียนยิ้มกริ่มและโบกมือ ทหารทั้งสิบคนล้อมเป็นวงกลมอยู่ด้านหลังทุกคนทันทีและเริ่มแปะกระดาษบนหลังผู้คน
“ทำไมถึงหนักขนาดนี้!” บรรดาผู้คนที่ถูกกระดาษแปะต่างส่งเสียงอุทานออกมา และมีหลายคนล้มลงกับพื้นทันที
“นี่คือยันต์แรงโน้มถ่วง แต่ละคนจะได้รับยันต์ที่แตกต่างกันตามระดับพลังเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเจ้าจะสามารถรับมือกับมันได้” เซียวหย่งเหนียนกล่าวอย่างเย็นชา “ลุกขึ้นมาและยืนต่อซะ ภายในสามลมหายใจ ถ้ายังมีคนลุกขึ้นมาไม่ได้ ข้าจะโยนคนผู้นั้นออกไปทันที!”
ผู้คนที่นั่งลงกับพื้นรีบลุกขึ้นทันที บางคนกลับมาอยู่ในท่านั่งม้าได้อย่างมั่นคง แต่ก็มีบางคนล้มลงกับพื้นอีกครั้ง หลังจากผ่านไปสามลมหายใจ เซียวหย่งเหนียนก็เริ่มโยนที่ไร้คุณสมบัติออกจากค่ายทหาร
หลิงฮันจ้องมองเขาและพยักหน้าอยู่ในใจ ความแข็งแกร่งของจอมยุทธแต่ละคนนั้นแข็งแกร่งมาก แต่การที่จะเป็นทหารมันไม่มีประโยชน์ที่จะต่อสู้เพียงลำพัง
ถ้าจักรวรรดิจันทราม่วงล้มเหลวในการกำจัดห้านิกายโบราณหรือเปิดสวรรค์ภาระจะตกมาที่เขา ดังนั้น เขาจึงให้ความสนใจกับการฝึกทหาร และการร่วมมือกับจักรวรรดิจันทราม่วงเป็นหนทางที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกคนแปะยันต์อาคมทีละคนทีละคน เพราะหลิงฮันแสดงพลังแค่ระดับบุปผาผลิบาน และไม่มีใครในที่แห่งนี้สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา เขาเลยได้แปะยันต์อาคมระดับบุปผาผลิบาน แต่น้ำหนักของมันจะไปทำอะไรเขาได้?
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะแปะยันต์อาคมแรงโน้มถ่วงระดับตัวอ่อนวิญญาณ มันก็ไม่แตกต่างกันด้วยกายหยาบของเขา
แต่ผู้คนที่ไม่มีกายหยาบแข็งแกร่งแบบเขา พวกเขาจะต้องโคจรพลังปราณเพื่อที่จะยืนหยัด
นี่ไม่ใช่การฝึกปล่อยหมัด แต่เป็นการฝึกฝนที่จะต้องปลดปล่อยพลังปราณออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น จอมยุทธส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกฝนร่างกายถ้าเวลาผ่านไปหนึ่งหรือสองชั่วโมงพวกเขายังคงยืนไหว แต่ถ้าเวลาผ่านไปนานกว่านั้น พลังปราณของพวกเขาจะเหือดแห้งและร่างกายจะรู้สึกอ่อนล้า
และปล่อยให้ทุกคนหนังศีรษะด้านชา พวกเขาจะต้องฝึกฝนอย่างนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน!
ในระหว่างการฝึกฝน พวกเขาไม่อนุญาตให้พัก ดื่มน้ำ และกิน เพียงแค่ผ่านไปครึ่งวันก็มีคนสิบเจ็ดคนยืนหยัดไม่ไหวและถูกโยนออกไปจากค่ายทหาร และในช่วงพลบค่ำก็มีคนถูกกำจัดออกไปทั้งหมดสี่สิบเก้าคน
เพียงแค่วันเดียวผู้คนเกือบหนึ่งในสิบก็ถูกกำจัดออกไปแล้ว
หลิงฮันรู้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะในวิถียุทธและศาสตร์ปรุงยา แต่เขายังคงเป็นแค่กระดาษขาวในเรื่องกองทัพและทหาร เขาจะต้องซึบซับประสบการณ์ อันที่จริงแล้วมันเป็นประโยชน์อย่างมากในการสร้างแคว้น พลังจักรภพสามารถยกระดับพลังต่อสู้ได้ และมันยังสามารถช่วยให้ระดับพลังก้าวหน้าเร็วขึ้น แม้ว่าตอนนี้ความก้าวหน้าของเขาจะรวดเร็วมากอยู่แล้ว แต่นั่นเป็นเพราะเขาเคยผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้วในชีวิตที่แล้ว แต่หลังจากที่เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาอาจจะไม่สามารถรักษาความก้าวหน้าดังกล่าวเอาไว้ได้
“ตอนนี้ปล่อยให้อ้วนหม่าสนับสนุนข้าไปก่อนแล้วกัน ถ้าเขาทำไม่ได้ ข้าก็จะช่วยเหลือเขา แต่ก่อนที่จะขึ้นไปบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ข้าจะต้องก่อตั้งแคว้นของตัวเองและเร่งบ่มเพาะพลัง”
มันเป็นเรื่องยากกว่ามากหากจะก่อตั้งแคว้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากทุกคนต่างรู้ถึงประโยชน์ของการก่อตั้งแคว้น แน่นอนว่าขุมพลังที่แข็งแกร่งจะต่างต้องการที่จะสร้างแคว้นเป็นของตัวเองและมีการแข่งขันที่รุนแรง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด