Alchemy Emperor of the Divine Dao ตอนที่ 1672
หลิงฮันและจักรพรรดินีมุ่งหน้าไปยังฝั่งตะวันตกของธุลีจันรทรา ด้วยการที่เมืองมีขนาดใหญ่เทียบเท่าดวงดาว ระหว่างทางพวกเขาจึงต้องข้ามผ่านภูเขาและสายน้ำใหญ่ กว่าจะมาถึงจุดหมายก็เป็นอีกหนึ่งวันให้หลังบริเวณแห่งนี้คือเขตภูเขา พวกเขามาถึงตีนภูเขาแห่งหนึ่งที่ถูกสร้างเป็นพื้นที่เปิดกว้างและสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีรูปแบบอาคมป้องกันติดตั้งเอาไว้ที่นี่มีคนมารวมกันอยู่มากมาย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าพวกเขามาเพื่อเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทราจอมยุทธที่ปรากฏให้เห็นไม่ได้มีแค่เผ่ามนุษย์อย่างเดียว จอมยุทธกว่าครึ่งเป็นเผ่าครึ่งอสูร และด้วยการที่ประชากรเผ่ามนุษย์มีมากที่สุดในทุกเผ่า แม้เผ่ามนุษย์บางคนจะดูเหมือนเผ่ามนุษย์บริสุทธิ์แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็มีสายเลือดของสัตว์อสูรไหลเวียนอยู่ในร่างกายทุกคนต่อแถวเหยียดยาวเพื่อลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมกองทัพ หลิงฮันกับจักรพรรดินีที่เพิ่งมาถึงได้เดินไปต่อหลังสุด ในโลกบรรพกาลพวกเขาอาจจะสามารถกำราบคู่ต่อสู้ทุกคนได้อย่างไม่ยากเย็น แต่สำหรับที่นี่ ระดับสร้างสรรพสิ่งนั้นไม่เพียงพอในขณะที่กำลังต่อแถว ทั้งสองก็รับฟังบทสนทนาของคนอื่นๆเพื่อเพิ่มความเข้าใจที่มีต่อดินแดนแห่งเซียน เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ทุกคนล้วนเอาแต่พูดถึงการรับสมัครเข้ากองทัพครั้งนี้กองกำลังธุลีจันรทราจะรับสมัครคนหนึ่งพันคน หนึ่งพันคนที่ว่าจะถูกแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละร้อยคน และหลังจากนี้อีกเก้าสิบปีในทุกๆปีแต่ละกลุ่มจะต้องมีคนถูกกำจัดออกไปปีละคน สุดท้ายแล้วในแต่ละกลุ่มจะเหลือคนอยู่เพียงสิบคน ซึ่งเมื่อรวมสิบกลุ่มแล้วก็จะเป็นร้อยคน ทั้งร้อยคนนี้จะกลายเป็นสมาชิกของกองกำลังธุลีจันรทราอย่างเป็นทางการดินแดนแห่งเซียนเป็นโลกที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ แม้เมืองธุลีจันรทราจะเป็นเมืองที่มีผู้หนุนหลังแต่ก็ไม่ใช่เมืองร้างและจำเป็นจะต้องติดต่อค้าขายกับเมืองต่างๆ ด้วยเหตุนี้ปัญหาที่ต้องพบเจอจึงเป็นโจรภูเขาที่พบเจอระหว่างการเดินทางไปแต่ละเมือง ซึ่งภารกิจของกองกำลังธุลีจันรทราคือสังหารโจรภูเขาเหล่านี้อันที่จริงด้วยการที่ว่ากลุ่มโจรภูเขานั้นเป็นขุมอำนาจที่มีระดับต่ำกว่าโลกียนิพพาน เหล่านิรันดร์ของเมืองธุลีจันรทราจึงไม่คิดจะเสียเวลาตามหาและจัดการกลุ่มโจรภูเขาด้วยตัวเองและมอบให้เป็นหน้าที่ของกองกำลังธุลีจันรทรานอกจากนั้น หลังจากเข้าร่วมกับกองกำลังธุลีจันรทราแล้ว นอกจากจะได้ทรัพยากรบ่มเพาะตามที่กำหนดแล้ว หากขยันทำผลงานให้กองทัพก็ยังมีจะได้รับทักษะระดับนิรันดร์ด้วย และที่ดึงดูดใจทุกคนมากที่สุดเลยคือ หากทำผลงานได้ดีจะมีโอกาสไต่เต้าและได้เข้าร่วมกับตระกูลฟู่ความเร็วการลงทะเบียนเป็นไปอย่างเชื่องช้า หลายชั่วโมงผ่านไปแถวก็เพิ่งลดไปครึ่งเดียว เนื่องจากพวกหลิงฮันมาช้าตอนนี้พวกเขาก็ยังคงรั้งอยู่ท้ายแถวโดยที่ไม่มีใครมาต่อหลังแม้แต่คนเดียวแต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็ลอยมาแต่ไกลและพุ่งไปยังเจ้าหน้าที่รับสมัครตรงๆเห็นได้ชัดว่ารุ่นเยาว์ผู้นั้นลัดแถว แต่เจ้าหน้าที่รับสมัครกลับไปขับไล่เขาและต้อนรับอย่างสุภาพเหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนโกรธเป็นอย่างมากและโอดครวญอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม“มันหมายความว่าอย่างไร?”“ใช้แล้ว พวกเราต่อแถวกันอยู่แท้ๆ ทำไมเขาถึงได้ลัดแถวไปได้?”“ไม่ยุติธรรม!”แต่ทว่า ทันใดนั้นก็เสียงใครบางคนเค้นเสียงเย็นชาและกล่าว “เจ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาเป็นใคร?”“ใครกัน?”ชายที่เอ่ยเสียงเย็นชาส่ายหัวราวกับพบเห็นคนโง่ “เขาคนนั้นคือยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งตระกูลติง ติงเซี่ยวเฉิน! หากเขาต้องการทำตามอำเภอใจในนิกายจันทราหม่นแสง จะมีใครทำอะไรเขาได้?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ความรู้สึกไม่สบอารมณ์ของบางคนก็หายไป แต่ก็ยังมีบางคนที่บ่นพึมพำ “กองกำลังแห่งนี้ไม่ใช่ของตระกูลติงเสียหน่อย แต่เป็นของตระกูลฟู่! ยิ่งกว่านั้นนอกจากตระกูลติงแล้วที่นี่ก็ยังมีตระกูลใหญ่อยู่อีกสองตระกูล”“ติงเซี่ยวเฉินมีพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธที่น่าอัศจรรย์ มีคำกล่าวว่าในระดับวารีนิรันดร์เขาควบแน่นดวงดาวได้เกินกว่าหกล้านดวง ตอนนี้เมื่อบรรลุเป็นราชาเซียนแล้วในระดับพลังเดียวกันจึงไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้”“แต่ก็น่าแปลก มีเหตุผลอันใดที่ติงเซี่ยวเฉินจำเป็นต้องเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทรา? คนเช่นเขามีรึจะขาดแคลนทรัพยากรบ่มเพาะ?”“เหอๆ บางทีเขาอาจแค่อยากโอ้อวดตัวเองเท่านั้น”“ผิดแล้ว ผิดแล้ว!” ใครบางคนส่ายนิ้วอย่างอวดรู้ เมื่อเห็นว่าคนรอบข้างหันมามองที่ตนเองเขาก็หัวเราะและกล่าวต่อ “วันนี้จะมีใครบางคนมาที่นี่ ติงเซี่ยวเฉินมาเพื่อคนคนนั้น”“ใครกัน?” คนรอบข้างเอ่ยถาม“เดี๋ยวพวกเจ้าก็รู้” เขาแสร้งทำเป็นลึกลับในระหว่างนั้นเอง เสียงเอะอะก็ดังขึ้นจากในกลุ่มคนที่อยู่แถวหน้า“เกิดอะไรขึ้น?” เหล่าคนที่อยู่หลังแถวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่กล้าปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์ไปตรวจสอบเนื่องจากที่นี่มีปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานอยู่“ติงเซี่ยวเฉินมีศักยะภาพสามดาว!” ผ่านไปไม่นานใครบางคนที่อยู่หน้าแถวก็เอ่ยปากเล่า“ว่าไงนะ!” ทุกคนตกตะลึงในดินแดนแห่งเซียนมีวิธีการวัดพรสวรรค์อยู่อีกรูปแบบหนึ่ง นอกจากพรสวรรค์ในการต่อสู้ข้ามระดับแล้ว ยังมีพรสวรรค์อีกอย่างหนึ่งคือศักยภาพในการเติบโตศักยภาพหนึ่งดาวคือคุ้มค่าที่จะฝึกฝน สองดาวคืออัจฉริยะ และสามดาวคืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ!สมกับเป็นราชารุ่นเยาว์ของตระกูลติง น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!“เหล่าจอมยุทธที่ได้รับการฝึกฝนจากสามตระกูลใหญ่เป็นเช่นนี้ทุกคน?” ใครบางคนเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ“ก่อนหน้านี้มีอัจฉริยะจากสามตระกูลหลายคนปรากฏตัวก็จริง แต่อย่างมากก็มีศักยะภาพเพียงสองดาวครึ่ง”“โดยส่วนมากแล้วทุกคนจะมีศักยภาพแค่หนึ่งดาว”หลายคนส่ายหัว ความแตกต่างนี้กว้างใหญ่จนพวกเขาทำได้เพียงแหงนมอง‘พรึบ’ ทันใดนั้นเอง ร่างอีกร่างหนึ่งก็ลอยใกล้เข้ามา นางสวมชุดสีแดงส่องประกาย ผิวของนางขาวกระจ่างใสดั่งหิมะ ผมสลวยสีดำดั่งหยกและมีใบหน้าที่งดงาม“นางคือเม่าซูอวี่! บุตรสาวคนเดียวของปรมาจารย์เม่าไต้ ผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพสูงสุดของกองกำลังธุลีจันรทรา!”“ว่าไงนะ แม่ทัพสูงสุดเม่าไต้? ไม่ใช่ว่าคนผู้นั้นคือนิรันดร์สามนิพพานหรอกรึ!”“เข้าใจแล้ว ที่แท้ติงเซี่ยวเฉินก็มาที่นี่เพราะเม่าซูอวี่”“ปรมาจารย์เม่าเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเพียงคนเดียวที่ไม่เป็นคนของสามตระกูลใหญ่ของเมืองธุลีจันรทรา แถมยังเป็นระดับโลกียนิพพานสามนิพพาน ด้วยพรสวรรค์ของเขาการจะบรรลุขั้นสมบูรณ์อย่างสี่นิพพานย่อมไม่ใช่ปัญหา เมื่อถึงตอนนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะได้เข้าร่วมตระกูลฟู่และมีอนาคตที่รุ่งโรจน์”“เพราะงั้นแล้วตระกูลใหญ่ทั้งสามจึงต้องการสร้างสายสัมพันธ์อันดีต่อปรมาจารย์เม่าเอาไว้ ในเมืองธุลีจันรทราแห่งนี้ นิรันดร์ระดับสามนืพพานเป็นตัวตนทรงพลังที่หากจะสู้ทั้งสามตระกูลก็ต้องทุ่มสุดตัว”“หากต้องการสร้างสายสัมพันธ์ด้วย ไม่ใช่ว่าการแต่งงานคือวิธีที่ง่ายและรัดกุมที่สุดหรอกรึ?”“โอ้ ถ้าหากข้ามีโอกาสได้แต่งงานกับนางก็คงดี!”ในระหว่างที่ฝูงชนพูดคุยกับอย่างเอิกเกริก สตรีชุดแดงไม่ได้ใช้สถานะของตนเองลัดแถวเหมือนกับติงเซี่ยวเฉิน นางเคลื่อนที่ไปต่อหลังหลังหลิงฮันซึ่งเป็นท้ายสุดของแถว
คอมเม้นต์