Super God Gene ตอนที่ 2011
คำพูดของหานเซิ่น ทำให้ยวิ๋นซู่อีไม่สามารถทำสมาธิเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไปได้เลยในวันนั้น ‘นี่เขาต้องการจะเดทกับข้าอย่างนั้นหรอ? ข้าควรจะไปดีไหม? แต่เขามีภรรยาและลูกแล้ว หรือบางทีเขาอาจจะระบุถึงปัญหาของวิชาใต้นภาได้แล้ว…ไม่สิ นี่เรากำลังคิดอะไรอยู่? เขาจะค้นพบวิธีแก้ปัญหาของมันได้ยังไงกัน?’ หัวของยวิ๋นซู่อีสับสนไปหมด และความคิดของเธอก็หมุนวนเป็นวงกลม หลังจากที่ลมปราณหยกปะทุครบ 2 รอบ ยวิ๋นซู่อีก็รีบออกจากสถานหยกขาว แต่เมื่อเธอกลับไปถึงบ้าน จิตใจของเธอก็ยังคงคิดถึงเรื่องที่หานเซิ่นพูด “ไม่ ข้าไม่ควรจะทำแบบนี้! ข้าต้องเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ข้าจำเป็นต้องบอกกับเขาและให้มันจบลงซะตอนนี้ ข้าจำเป็นต้องกลับไปเป็นยวิ๋นซู่อีอีกครั้ง”เธอกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน แต่เธอก็ไม่สามารถนอนหลับได้ ในที่สุดเธอก็ลุกขึ้นมาและเปลี่ยนชุด หลังจากนั้นเธอก็ขี่เสือปีกหยกออกไป ยวิ๋นซู่อีต้องการจะจบความสัมพันธ์ของเธอกับหานเซิ่น แต่เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับการทำอย่างนั้น เธอก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา ยวิ๋นซู่อีขี่เสือปีกหยกไปที่เกาะของหานเซิ่น ที่นั่นเธอเห็นเขากำลังฝึกวิชาอยู่ มันคือวิชาใต้นภา เมื่อเสือของยวิ๋นซู่อีบินลงมาบนเกาะ หานเซิ่นก็ลดมีดลงและพูด“ข้าฝึกฝนวิชาใต้นภามาสักพักหนึ่งแล้ว และข้าก็ยืนยันได้ว่าปัญหาที่เจ้าพบไม่ได้เกิดจากตัวเจ้า แต่ปัญหาของมันอยู่ที่ตัววิชา หลังจากที่ข้าได้ทำการศึกษามันดูแล้ว ข้าก็หาวิธีแก้ปัญหาของมันได้สำเร็จ เจ้าควรจะลองดูว่ามันได้ผลหรือเปล่า” ขณะที่เธอเดินทางมาที่เกาะ เธอย้ำกับตัวเองว่าให้พูดกับหานเซิ่นออกไปอย่างจริงใจ แต่เมื่อเธอมาถึงที่เกาะ เธอก็ไม่สามารถบังคับให้ตัวเองพูดในสิ่งที่คิดออกไปได้ แต่ทว่าหลังจากที่ได้ยินคำกล่าวอ้างของหานเซิ่น เธอก็มองไปที่เขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าพบวิธีแก้จริงๆอย่างนั้นหรอ?” “แทนที่จะเรียกว่าข้าแก้ปัญหาของมัน มันเหมือนกับว่าข้าใช้บางส่วนของวิชาอื่นเข้ามาแทนที่ซะมากกว่า ข้ายังไม่ได้ปรับปรุงรายละเอียดของมัน แต่มันไม่อันตรายอะไรถ้าเจ้าอยากจะลองดู” หานเซิ่นพูด “เจ้าคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีไม่เชื่อว่าหานเซิ่นจะแก้ไขปัญหาของมันได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงอยากรู้ อัจฉริยะหลายต่อหลายคนของปราสาทนภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาของมันได้ แต่หานเซิ่นเพิ่งจะฝึกมันได้เพียงแค่เดือนเดียว การที่เขาสามารถแก้ไขปัญหาของมันได้ในเวลาอันสั้นเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ “ให้ข้าแสดงมันให้เจ้าดู” หานเซิ่นเดินออกไปยังพื้นที่โล่งและชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มใช้วิชาใต้นภาฉบับปรับปรุง ยวิ๋นซู่อีดูสับสนเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ดูตกตะลึง ก่อนหน้านี้เธอมีแผนที่จะใช้วิชามีดเพื่อใกล้ชิดกับหานเซิ่น ดังนั้นเธอจึงได้ศึกษามันอย่างจริงจัง อีกอย่างหนึ่งวิชาใต้นภานั้นดั้งเดิมก็ถูกคิดค้นขึ้นโดยตระกูลยวิ๋น ดังนั้นวิชาฉบับที่อยู่กับตระกูลของเธอจึงแตกต่างจากที่อยู่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ตัววิชานั้นเหมือนกัน แต่ของตระกูลยวิ๋นจะมีคำอธิบายและคำชี้แนะเขียนเอาไว้ด้วย ซึ่งพวกมันเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นถึงแม้ยวิ๋นซู่อีจะไม่ได้ฝึกมันเป็นเวลานานแล้ว แต่คำอธิบายและคำชี้แนะที่เขียนเอาไว้ก็ช่วยให้เธอเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น ส่วนหานเซิ่นฝึกมันด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับคำอธิบายหรือคำชี้แนะใดๆ ขณะที่ยวิ๋นซู่อีมองดูวิชาใต้นภาของหานเซิ่น เธอก็อ้าปากค้าง ‘ปัญหาของวิชาใต้นภาถูกแก้ไขแล้ว เขาทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?’ ยวิ๋นซู่อีอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ‘นี่เขาฝึกตำราไร้อักษรอย่างนั้นหรอ? แต่นั่นไม่น่าเป็นไปได้ คนนอกจะเรียนรู้มนตร์สัจธรรมได้ยังไงกัน? ตำราไร้อักษรเป็นความลับของชาวนภา มีเพียงแค่ชาวนภาเท่านั้นที่ฝึกมันได้’ ยวิ๋นซู่อีมองดูหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “เจ้าคิดยังไง? เจ้าคิดว่าปัญหาของมันถูกแก้ไขแล้วหรือยัง?” หานเซิ่นถามขณะที่เก็บมีดกลับไป ในที่สุดยวิ๋นซู่อีก็รู้สึกตัวขึ้นมา เธอมองหานเซิ่นอยู่สักพักและพูดขึ้นมา“หานเซิ่น เจ้าพอจะบอกข้าได้ไหมว่าเจ้าทำแบบนั้นได้ยังไง?” หานเซิ่นได้เตรียมคำอธิบายเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว“ในตอนที่ข้าเดินบนถนนสู่ท้องฟ้า ความรู้สึกจากตัวอักษรของปราสาทนภาได้เข้ามาในจิตใจของข้า พวกมันมาจากตำราไร้อักษร และวิชาใต้นภาก็มาจากตำราไร้อักษรเช่นกัน ดังนั้นพวกมันมีบางอย่างที่เหมือนกันอยู่ ข้าได้ผสมมันเข้าด้วยกันในระหว่างการค้นคว้า แต่ข้าไม่แน่ใจว่ามันได้ผลหรือเปล่า เจ้าคิดว่ายังไง?” ยวิ๋นซู่อีหลบสายตาของเขาและพูดออกมาเบาๆ “ข้าไม่แน่ใจ เจ้าช่วยสอนมันให้กับข้าได้ไหม? เพื่อที่ข้าจะได้เข้าใจมากขึ้น” “แน่นอน” หานเซิ่นพยักหน้าและพูดต่อ “แต่วิธีของข้ามันยุ่งยากนิดหน่อย เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความรู้ตัวอักษรของปราสาทนภาเพื่อที่จะใช้วิธีนี้” ยวิ๋นซู่อีดูผิดหวัง เธอส่ายหัว “ข้าเติบโตในปราสาทนภา และข้าก็เคยอ่านตัวอักษรนั่นหลายต่อหลายครั้ง แต่ข้าไม่เคยได้รับความรู้อะไรที่เจ้าพูดถึงเลย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะข้าเคยชินกับมัน แต่ข้าไม่เคยรู้สึกอะไรในตอนที่อ่านตัวอักษรพวกนั้นเลย” “ไม่ต้องกังวล ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ประสบกับความรู้สึกของวิชาใต้นภา” หานเซิ่นยิ้ม “ทำยังไง?” ยวิ๋นซู่อีถาม “ข้าจะใช้วิชาใต้นภาต่อสู้กับเจ้า แบบนั้นเจ้าจะได้รู้สึกถึงวิชามีดของข้า” หานเซิ่นพูด “มันจะได้ผลอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีพูด “ต้องลองดู และพวกเราจะได้เห็นเอง” หานเซิ่นนำมีดหยกสำหรับฝึกออกมา 2 เล่มและส่งเล่มหนึ่งให้กับยวิ๋นซู่อี เขาแค่จะช่วยยวิ๋นซู่อีฝึก ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มีดเขี้ยวผีสิง ยวิ๋นซู่อีฝึกฝนกับหานเซิ่นและพยายามที่จะรู้สึกถึงวิชามีดของเขา เธอไม่รู้ว่าทำผิดพลาดหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังถูกจี้ด้วยมีดที่มองไม่เห็น มันดูเหมือนกับว่าเธอไม่สามารถที่จะหนีจากมันได้ ‘เราคิดมากเกินไป เขาแก้ไขปัญหาของวิชาใต้นภาได้แล้วจริงๆ แต่มันเพิ่งจะผ่านไปแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ทำไมเขาถึงได้ฝึกวิชาใต้นภาจนเชี่ยวชาญขนาดนี้แล้ว’ ความคิดมากมายหมุนเวียนในหัวของเธอ ตลอดหลายวันต่อมา ยวิ๋นซู่อีจะมาฝึกฝนร่วมกับหานเซิ่น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างยวิ๋นซู่อีไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่หานเซิ่นสามารถแก้ไขวิชาใต้นภาได้แล้ว เธอแค่หวังว่าจะฝึกฝนกับหานเซิ่นแบบนี้ในทุกๆวัน ด้วยความช่วยเหลือของหานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีก็ฝึกวิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงระดับเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว
คอมเม้นต์