Super God Gene ตอนที่ 1989
ยวิ๋นซู่อีเห็นหานเซิ่นลุกขึ้นและเทเลพอร์ตไปด้านหลังของตั๊กแตนโลหิตเทพ มีดแสงสีม่วงถูกฟันออกไป ขณะที่หัวของตั๊กแตนโลหิตเทพดูเหมือนกับว่ากำลังถูกเขมือบโดยปีศาจ มีดแสงตัดผ่านไปและร่างกายของมันก็ร่วงลงไปที่พื้น ยมทูตสีแดงแตกสลายในทันทีและจางหายไปในอากาศ “ซีโน่เจเนอิคตั๊กแตนโลหิตเทพกลายพันธุ์ระดับเอิร์ลถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกพบ” ‘ไม่ได้รับวิญญาณอสูร?’ ความคิดของหานเซิ่นถูกย้อมด้วยความโลภ ยวิ๋นซู่อีมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ เขาสังหารซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์ระดับเอิร์ลในดาบเดียว ซึ่งนั่นเหนือกว่าสิ่งที่กระเรียนพันขนสามารถทำได้มากนัก แต่เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของหานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีก็รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม หานเซิ่นขุดเอายีนกลายพันธุ์ออกจากตัวของตั๊กแตนโลหิตเทพ ซึ่งเป็นชิ้นเปลือกของมัน และภายในชิ้นคริสตัลสีเลือดนั้นก็มีก้อนควันอยู่ หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่ามันเป็นใบหน้าของยมทูตสีแดง “ยีนระดับเอิร์ลไม่เพียงพอ ไม่สามารถสกัดยีนกลายพันธุ์ได้” หานเซิ่นแปลกใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น มันเป็นยีนกลายพันธุ์ระดับเอิร์ลเหมือนกัน ซึ่งก่อนหน้านี้เขาสามารถสกัดยีนของราชินีมดได้ แต่ตอนนี้หานเซิ่นมียีนมากกว่าตอนนั้นถึง 2 พ้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถที่จะสกัดยีนของตั๊กแตนโลหิตเทพได้ หานเซิ่นตัดสินใจเก็บมันเข้าไปในกระเป๋าและส่งร่างของตั๊กแตนให้กับนกกระเรียนไร้ขา หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ออกล่าซีโน่เจเนอิคบนเกาะโอลด์ไนท์ต่อโดยมียวิ๋นซู่อีติดตามไปด้วย ภายในบุดด้าคิงดอม ราชาเคลียร์ซีโค้งคำนับให้กับเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าและพูดขึ้นมา
“หานเซิ่นทำลายคำสาบที่เปลี่ยนร่างกายเป็นมดได้สำเร็จ และตอนนี้เขากำลังฝึกในปราสาทนภา” เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าพูด “ราชินีแห่งมีดคงจะขอให้ผู้นำของปราสาทนภาทำลายวิชาของข้า” “พวกเราจะปล่อยเขาลอยนวลไปแบบนี้อย่างนั้นหรอ?” ราชาเคลียร์ซีถาม “สำหรับตอนนี้พวกเราจะไปก้าวก่ายเรื่องภายในปราสาทนภาไม่ได้ ถ้าเขาอยู่ในปราสาทนภา พวกเราก็ปล่อยเขาไป”ดูเหมือนกับเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาถึงไม่ได้แสดงความกังวลอะไรออกมา “แต่ว่า…” ราชาเคลียร์ซีอยากจะพูดมากกว่านั้น แต่เขาถูกเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าหยุดเอาไว้ “เฟิร์สเดย์ยังฝึกอยู่ที่ปราสาทนภาใช่ไหม เขาเป็นยังไงบ้าง?” เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าถาม “เขาจะเป็นมาร์ควิสในเร็วๆนี้” ราชาเคลียร์ซีตอบ “ดี ถึงเฟิร์สเดย์จะไม่ได้มีพรสวรรค์เท่ากับเจ็ดวิญญาณหรือสปีชเลสส์ แต่เฟิร์สเดย์ก็ทัดเทียมกับพวกเขาในด้านความแข็งแกร่ง ด้วยการฝึกฝนในปราสาทนภาและการผสานกันระหว่างพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์ที่ดีที่สุด 2 เผ่าพันธุ์ เขาเองก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นเทพเจ้าเช่นเดียวกัน พวกเราจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้” เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าพูด “ตอนนี้หานเซิ่นคนนั้นก็อยู่ในปราสาทนภา นี่เขาจะ…” ราชาเคลียร์ซีกังวล เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าพูดอย่างใจเย็น “ปราสาทนภารับตัวหานเซิ่นเข้าไป และพวกเขาก็รับตัวเฟิร์สเดย์ไปเช่นกัน มันไม่มีความจำเป็นที่เราต้องกังวลถึงความปลอดภัยของเขา อย่าได้ทำอะไรจนกว่าหานเซิ่นจะออกจากปราสาทนภา และก็อย่าได้ติดต่อไปหาเฟิร์สเดย์ รอจนกระทั่งเขาฝึกสำเร็จก่อน”… เมื่อใกล้ถึงวันที่สถานหยกขาวจะเปิดขึ้นอีกครั้ง หานเซิ่นและยวิ๋นซู่อีก็เดินทางออกจากเกาะโอลด์ไนท์ ในครั้งนี้หานเซิ่นล่าซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลได้ 11 ตัว แต่เนื่องจากยวิ๋นซู่อีอยู่กับเขาด้วย เขาจึงต้องนำยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดที่ล่าได้ติดตัวกลับไป เนื่องจากเขาไม่ต้องการกินยีนซีโน่เจเนอิคต่อหน้าเธอ เมื่อลมปราณหยกของสถานหยกขาวสิ้นสุดลง หานเซิ่นก็นำยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดกลับไปที่เกาะของเขา “ซู่อี ตามพี่กลับไปที่บ้าน” ยวิ๋นซู่ซางเรียกน้องสาวของเธอ ยวิ๋นซู่อีหันไปมองยวิ๋นซู่ซางด้วยสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยและพูด
“พี่ไม่ต้องกังวล ข้าจะกลับไปที่บ้าน” ยวิ๋นซู่ซางรู้สึกแปลกใจ เธอสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับท่าทางของยวิ๋นซู่อี เธอจึงถามขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? นี่หานเซิ่นทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีส่ายหัวและถอนหายใจออกมา พวกเธอไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอก็แน่นแฟ้นไม่ต่างไปจากพี่น้องทางสายเลือดจริงๆ พวกเธอพูดคุยกันทุกเรื่องโดยไม่ปิดบัง ดังนั้นยวิ๋นซู่อีจึงบอกยวิ๋นซู่ซางถึงสิ่งที่เธอได้รู้เกี่ยวกับหานเซิ่น “พี่เข้าใจแล้ว แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี เจ้าเป็นคนเผ่านภา และเจ้าก็เป็นลูกของผู้อาวุโสอีกด้วย เธอไม่อาจอยู่ร่วมกับคนนอกได้” ยวิ๋นซู่ซางรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ทำให้ยวิ๋นซู่อีเศร้าใจ ยวิ๋นซู่ซางปลอบเธอและพูดต่อ “หานเซิ่นเป็นอัจฉริยะ แต่เขาไม่ได้เป็นแค่คนเดียวที่คู่ควรกับเจ้า มันยังมีอัจฉริยะแบบเขาอีกมาก” ยวิ๋นซู่อีไม่มีอารมณ์จะพูดล้อเล่น เธอรู้สึกเศร้าอย่างมาก เธอฝืนยิ้มออกมาและเดินทางกลับบ้าน เนื่องจากวันต่อมาเป็นวันสอบ หานเซิ่นจึงเร่งรีบอย่างมาก เขาไม่มีเวลาที่จะค่อยๆกิน เขาต้มยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดในหม้อเดียวและใช้วิชาคอนซูมเพื่อย่อยยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดให้เร็วที่สุด หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าถูกไฟฟ้าช็อตและมีพลังไหลเวียนในร่างกายของเขา มันทำให้เขารู้สึกแข็งแกร่งขึ้น เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของหานเซิ่นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเสียงประกาศสุดท้ายสิ้นสุดลง ยีนระดับเอิร์ลของเขาก็มาอยู่ที่ 40 พ้อย แต่เมื่อหานเซิ่นหยิบยีนของตั๊กแตนโลหิตเทพกลายพันธุ์ออกมา เสียงประกาศก็ยังคงบอกว่าเขามียีนระดับเอิร์ลไม่เพียงพอ “ยีนของตั๊กแตนโลหิตเทพกลายพันธุ์จำเป็นต้องใช้ยีนระดับเอิร์ลสูงกว่ายีนของมดราชินีกลายพันธุ์ แต่ตอนนี้เราไม่มีเวลาไปล่าซีโน่เจเนอิคเพิ่ม”
หานเซิ่นเก็บมันไปก่อนและนั่งลงบนเตียงเพื่อฝึกวิชากายหยก ถึงแม้มันจะไม่ได้ผลดีเหมือนกับตอนที่ฝึกในสถานหยกขาว แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย วันต่อมา เมื่อหานเซิ่นกำลังจะเดินทางไปยังสถานที่สอบ อวี้จิงก็มาหาเขาที่เกาะ “ศิษย์น้องหาน ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะปรึกษากับเจ้า” อวี้จิงรีบพูดขึ้นมาในทันที “เรื่องอะไร?” หานเซิ่นมองอวี้จิง อวี้จิงลดเสียงของเขาและพูด “คู่ต่อสู้คนแรกที่เจ้าจะเจอในวันนี้ เขาหวังว่าตัวเองจะผ่านไปสู่รอบต่อไปได้ ดังนั้นเขายินดีจะจ่ายในราคาสูง โดยหวังว่าเจ้าจะยอมให้เขาผ่านไปรอบต่อไป” อวี้จิงไม่ได้พูดตรงๆ แต่เขาหมายความว่าคู่ต่อสู้จะจ่ายเงินให้กับหานเซิ่นเพื่อให้เขาล้มมวย “ขอโทษด้วย ข้าคงจะช่วยเขาไม่ได้” หานเซิ่นตอบ อวี้จิงรีบพูดขึ้นมา “ศิษย์น้องหาน เจ้ารู้ใช้ไหมว่าคู่ต่อสู้คนที่ 6 ของเจ้าคือไผ่เดียวดายน่ะ? มันยากจะตัดสินได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นมันจะดีกว่าถ้าเจ้ารับผลประโยชน์ในตอนนี้” ในตอนที่อวี้จิงบอกว่ามันยากจะตัดสินได้ว่าใครเป็นฝ่ายชนะนั้น จริงๆแล้วเขาหมายความว่าหานเซิ่นจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และถ้าหานเซิ่นแพ้ อวี้จิงก็จะสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดไป ตอนนี้เขาพยายามจะทำให้ตัวเองสูญเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “จุดประสงค์ในการเข้าสอบของข้าคือการได้อันดับที่หนึ่ง ข้าไม่สนใจอย่างอื่น”
หลังจากที่พูดอย่างนั้น หานเซิ่นก็ขี่นกกระเรียนไร้ขาบินตรงไปที่เกาะวิถีนภา ซึ่งเป็นสถานที่สอบ อวี้จิงยืนแข็งทื่อไปสักพักหนึ่ง หลังจากผ่านไปสักพัก อวี้จิงก็รู้สึกตัวขึ้น เขาพูดกับตัวเอง
“ข้าก็หวังจะให้เจ้าได้อันดับที่หนึ่งเช่นกัน แต่เจ้าจะเอาชนะไผ่เดียวดายได้ยังไง?”
คอมเม้นต์