War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2261
ตอนที่ 2,261 : มันเป็นมนุษย์!! ปีศาจจากแดนเนรเทศนั้น เมื่อรุกรานเข้ามาในภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว ทัพหน้าของพวกมันแต่ละเผ่าก็จะหาสถานที่เพื่อลงหลักปักฐาน ยึดเป็นฐานที่มั่น และในพื้นที่ๆพวกมันยึดครอง ก็จะมีแต่เผ่าของพวกมันมารวมตัวอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกันกับเมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์ กว่าครึ่งของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ลงหลักปักฐานอยู่ในเมือง รวมถึงขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง 3 วัง 6 ตำหนักก็ได้ตั้งรกรากขึ้นที่นี้ เช่นเดียวกันกับเผ่าปีศาจสุกร สถานที่ๆเผ่าปีศาจสุกรเลือกจะลงหลักปักฐานก็เป็นหุบเขาอันกว้างใหญ่ไพศาล มีแนวเทือกเขาทอดยาวเป็นอาณาเขตกั้นแบ่ง และเผ่าย่อยของปีศาจสุกรที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ตั้งฐานที่มั่นอยู่ในหุบเขานี้เช่นกัน และเผ่าปีศาจสุกร 3 เผ่าย่อยที่แข็งแกร่งที่สุดก็ได้แก่ เผ่าปีศาจสุกรทมิฬ เผ่าปีศาจสุกรสายฟ้า และเผ่าปีศาจสุกรสีชาด เผ่าปีศาจสุกรทมิฬนั้นมีความสามารถโดดเด่นในเรื่องต่อสู้ระยะประชิด รูปร่างของพวกมันจึงบึกบึนแลดูแข็งแกร่ง น้อยนักที่จะอ้วนพุงโลตามธรรมชาติของหมู ส่วนปีศาจสุกรสายฟ้า แม้ไม่ใช่ผู้ฝึกเต๋าหากแต่ด้วยพรสวรรค์แต่กำเนิดอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้พวกมันมีความสามารถในการชักนำสายฟ้าลงมาเพื่อช่วยเหลือยามต่อสู้ ส่วนเผ่าปีศาจสุกรสีชาดนั้น กลับมีกลวิธีปลดปล่อยพลังคลั่ง! ยามเมื่อใช้ความสามารถคุ้มคลั่ง ทั่วร่างของมันจะขยายใหญ่ เนื้อตัวจะกลายเป็นสีแดงฉาน พลังอำนาจดุร้ายเกรี้ยวกราดเป็นที่สุด! และวันนี้ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 เผ่า ยังเป็นหัวหน้าของเผ่าสุกรย่อยทั้ง 3 ก็ได้มารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! เสียงแหวกฝ่าสายลมอัรุนแรงดังขึ้น ทำลายความสงบของเผ่าปีศาจสุกร จาก 3 ทิศทาง ปรากฏร่างปีศาจสุกรแลดูแตกต่างกัน 3 ตนพุ่งลัดฟ้ามาฉับไว แต่ละตนเหินมาด้วยความเร็วสูงล้ำ จนร่างของพวกมันแลดูพร่าเลือนเสมือนภูตผี เมื่อพวกมันเหินข้ามฟ้ามา จุดหมายของพวกมันก็คือจัตุรัสกลาง อันเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองเผ่าปีศาจสุกร! บริเวณจัตุรัสกลางมีพื้นที่ยกสูงแลคล้ายแท่นบูชาตั้งอยู่ ในบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหลาย แต่ละเผ่าล้วนมีความเชื่อและความศรัทธาแตกต่างกันออกไปยกเว้นก็แต่เผ่าปีศาจมนุษย์ ความเชื่อและความศรัทธาของมันปกติแล้วจะเป็นตัวบรรพบุรุษของพวกมันเอง ทำให้เผ่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าพวกมันจะย้ายรกรากไปตั้งถิ่นฐานที่ใด พวกมันก็จะจัดสร้างแท่นบูชา รวมถึงสร้างรูปปั้นบรรพชนของพวกมันเอาไว้ แท่นบูชาของเผ่าปีศาจสุกรก็มีขนาดใหญ่โตนัก ตรงกลางยังปรากฏรูปปั้นมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ รูปปั้นมหึมาที่ตั้งตระหง่านนั้นลักษณะแลคล้ายมนุษย์ มือข้างหนึ่งของมันคอนตรีศูลเฉียงลงข้างตัวไว้อย่างองอาจ อีกมือนั้นใช้ 2 นิ้วชี้กลางจี้ขึ้นฟ้า ราวกับจะประกาศศักดิ์ดาว่าจะใช้ตรีศูลในมือสยบโลกหล้า! มองไปยังศีรษะของรูปปั้นอันเขื่อง ปรากฏเป็นหัวสุกร เป็นได้ชัดว่ามันคือปีศาจสุกร! และมันยังเป็นบรรพบุรุษของเผ่าปีศาจสุกร! จุดศูนย์รวมความศรัทธาของเผ่าปีศาจสุกลทั้งหลาย!! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! เสียงแหวกอากาศแว่วมาจากไกลๆ 3 สำเนียง พริบตาก็ปรากฏร่าง 3 ร่างเหินลอยอยู่เหนือแท่นบูชา ร่างหนึ่งค่อนข้างท้วมหากแต่สูงใหญ่ เพียงมันลอยร่างอยู่เฉยๆก็ให้ความรู้สึกประหนึ่งหอคอยเหล็ก แลดูน่าเกรงขามมากบารมี ทำให้ผู้ที่แลมองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนถูกสะกดข่ม และมันก็คือปีศาจสุกรทมิฬ ยังเป็นผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ! แน่นอนว่าในฐานะผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ ร่างท้วมสูงใหญ่ของมันนั้นมองไปที่ใดก็เห็นแต่มัดกล้ามปูดโปนแทบปริ! ราวกับมันสามารถระเบิดพลังอำนาจมหาศาลออกได้ในพริบตา!! ส่วนอีกร่างนั้น ก็มีหัวเป็นสุกรเช่นกัน ขนาดร่างกายแลดูปานกลาง หากทว่ากลับมีผิวค่อนข้างขาว หากมองให้ดีจะพบว่า มีปานสายฟ้าสีม่วงปรากฏอยู่บริเวณหว่างคิ้ว และหากจับจ้องมองไปยังปานสายฟ้าดังกล่าว จะพบว่าบริเวณปานสายฟ้านั้น กลับมีประกายแสงสีม่วงเรืองสว่างขึ้นมาเป็นระยะๆ! ราวกับมีเส้นสายอัสนีแลบลั่นอยู่ตลอดเวลา และปีศาจตัวเป็นคนหัวเป็นสุกรผู้มีปานสายฟ้าที่หว่างคิ้วตนนี้ก็คือ 1 ใน 3 ผู้นำเผ่าปีศาจสุกร ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้า!! จุดสังเกตอีกอย่างของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรก็คือ ในมือมันถือไว้ด้วยไม้เท้าหนึ่ง ไม่ทราบทำมาจากวัสดุอะไรแต่ตัวไม้เท้ากลับโปร่งใสคล้ายแก้วผลึก ร่างสุดท้ายที่มาถึงมันช่างอ้วนท้วมนัก ใบหูยังใหญ่โตราวใบบัว หากแต่สองตากลับเล็กหยี! ลักษณะของมันหากเทียบกับ 2 ผู้นำก่อนหน้าจัดว่าค่อนข้างปกติ แลเหมือนปีศาจสุกรทั่วๆไป หากแต่มันก็คือผู้นำคนสุดท้าย ในบรรดา 3 ผู้นำของเผ่าปีศาจสุกร ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด! โดยปกติแล้วผู้นำเปีศาจสุกรทั้ง 3 จะอาศัยอยู่ในเขตของตัวเอง ไม่ก้าวก่ายกันและกัน ทว่าตอนนี้พวกมันกลับมารวมตัวกันอย่างหาดูได้ยาก! ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าของพวกมันแต่ละตนยามนี้ ช่างอัปลักษณ์ปั้นยากนัก! ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้พวกมันเป็นแบบนี้ได้? “เจ้าเองก็ทราบแล้วหรือ?” เมื่อ 3 ผู้นำปีศาจสุกรมารวมตัวกัน ก็เป็นผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกกล่าวขึ้นตนแรก เสียงมันยังดังปานระฆังฟ้าร้อง “ข้าเองก็มีไข่มุกวิญญาณพวกมันเก็บไว้เช่นกัน หากมีอันใดเกิดขึ้นกับพวกมันขอเพียงข้ามิได้ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ย่อมรับทราบได้ทันที…ข้าเองก็อยากมาสอบถามเจ้าเรื่องนี้” ผู้นำเผ่าปีศาจสายฟ้ากล่าว ยังยกมือขึ้นมาหักนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ ปานสายฟ้าที่หว่างคิ้วยิ่งมายิ่งส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ แลดูคล้ายมันเดือดดาลไม่น้อย! “บัดซบสิ้นดี! ท่านผู้เฒ่าอาวุโสอุตส่าววางใจมอบพวกมันทั้ง 3 ไว้ให้พวกเราดูแล ถึงแม้ท่านผู้เฒ่าจะไม่ให้พวกเราไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับพวกมันด้วยไม่อยากให้ขัดขวางการเติบโต แต่ก็ยังฝากฝังให้พวกเราคอยดูแลความปลอดภัยของพวกมัน…แต่มิคิดเลยพวกมันที่ปลอดภัยราบรื่นมาตลอดในดินแดนเนรเทศกลับมาเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ได้!” ผู้นำปีศาจสุกรสีชาดกล่าวถึงจุดนี้น้ำเสียงก็กลายเป็นเยียบเย็น “ข้าล่ะอยากรู้นักว่าเป็นตัวบัดซบจากที่ใดถึงได้หาญกล้าบุกมาฆ่าหลานทั้ง 3 ของท่านผู้เฒ่าอาวุโส!” กล่าวจบคำผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดก็เริ่มเคลื่อนไหว มันยกมือขวาขึ้น ความว่างเปล่าก็สั่นสะเทือน ปรากฏพลังไร้สภาพขุมหนึ่งกำจายออกมา พร้อมกับที่พลังไร้สภาพเอ่อล้นออกมาบิดเบือนในบรรยากาศ ในมือของมันยังปรากฏเศษซากวัตถุแตกอยู่ มองดูให้ดีไม่ใช่นั่นเป็นเศษไข่มุกวิญญาณหรือไร? ยิ่งไปกว่านั้นหากดูจากจำนวนเศษซากแล้ว สมควรเป็นไข่มุกวิญญาณมากกกว่า 1 ลูก! “ข้าจัดการเอง” ผู้นำเผ่าปีศาจสายฟ้ากล่าว ก่อนจะยกไม้เท้าผลึกแก้วขึ้นมาโบก ทันใดนั้นปรากฏอัสนีสีม่วงสายหนึ่งพุ่งวาบออกจากหัวไม้เท้า ยิงจี้ไปยังรูปปั้นบรรพบุรุษเบื้องล่าง ทันใดนั้นรูปปั้นใหญ่โตก็เริ่มเรืองแสงสีม่วงขึ้นมา ไม่นานแสงสีม่วงจากทั้งร่างก็คล้ายจะไปบรรจบที่ดวงตา ก่อนที่สองตาของรูปปั้นจะยิงลำแสงสีม่วงเข้มสายหนึ่งขึ้นมาฉับไว! วู้ม! วู้ม! เมื่อลำแสงสีม่ววงสองสายจากดวงตาของรูปปั้นสาดมาถูกเศษไข่มุกวิญญาณ เศษไข่มุกทั้งหลายก็เรืองแสงสว่างวาบ ต่อมาปรากฏม่านพลังคล้ายกระจกขึ้นกลางหาวเบื้องหน้าสายตาของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3! และฉากเรื่องราวในนั้นทำให้แววตาของพวกมันแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ!! ฉากที่ว่าก็คือภาพเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับ 3 นับรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกร! วิธีการดังกล่าวมองไปยังคล้ายรูปแบบการทำงานของยันต์กระจกเงาสะท้อนลักษณ์ของมนุษย์อยู่บ้าง หากแต่ที่ปีศาจสุกรสามารถกระทำเช่นนี้ได้ เนื่องเพราะอาศัยอาคมโบราณหนึ่ง และอาคมโบราณที่ว่าก็ถูกสลักจารึกเอาไว้ในรูปปั้นของบรรพบุรุษ! “สารเลวนี่เป็นเผ่าปีศาจมนุษย์!” หลังได้เห็นว่าร่างผู้ที่ต่อสู้กับ 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรเป็นใคร บรรดาผู้นำเผ่าปีศาจสุกรก็เดือดดาลนัก ลูกตาของพวกมันทั้ง 3 แทบจะพ่นลำแสงความร้อนออกมาได้! “สารเลว! ไอ้พวกเผ่าปีศาจมนุษย์นอกคอกมันกล้าบุกรุกเข้ามาถิ่นพวกเรารึ!?” “เรื่องนี้พวกเราต้องไปขอคำอธิบายจากพวกมัน!!” … เรียกว่าหลังได้เห็นร่างต้วนหลิงเทียน 3 ผู้นำก็มีโมโหนัก ด้วยรู้สึกเสมือนถูกหยามหมิ่นลูบคม!ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เผ่าปีศาจสุกรของพวกมันมีใครหาญกล้าบุกมาก่อเรื่องแบบนี้? “ไม่สิ! จากพลังของมันมิน่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเด็กน้อยทั้ง 3 นั่นได้…หรือเป็นมันล่อหลานแฝดของท่านผู้เฒ่าอาวุโสออกไป ก่อนที่พวกมันจะถูกพวกเผ่าปีศาจมนุษย์ที่ดักซุ่มอยู่ฆ่ากัน?” ฉากเรื่องราวในม่านแสงกลางหาวเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนนี้ทั้งหมดก็ได้เห็นฉากที่ต้วนหลิงเทียนกำลังหลบหนี 3 ปีศาจสุกรไม่หยุด พาลให้ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยความสงสัย และในขณะที่อีก 2 ผู้นำก็กำลังสงสัยในเรื่องราวดังกล่าวเหมือนกันนั้นเอง ฉากเรื่องราวในม่านแสงก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดในร่างให้ทัดเทียมกับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว ก็ไม่อาจฝ่าม่านพลังป้องกันของ 3 แฝดได้ “นี่มันอะไรกัน…หรือตอนแรกเป็นมันปกปิดพลังเอาไว้?” เรื่องที่เกิดขึ้นย่อมทำให้ 3 ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรไม่เข้าใจจริงๆ “ไม่! มันมิได้ปกปิดพลังเอาไว้! แต่สมควรเป็นมันถ่วงเวลาเพื่อใช้เวทย์พลังสนับสนุนยกระดับพลังเซียนต้นกำเนิดในร่าง! เจ้าเห็นหรือไม่ตั้งแต่แรกมันไม่ได้คิดปะทะแตกหักอันใดเพียงบินหนีไปหนีมา!” “มันสมควรใช้เวทย์พลังสนับสนุนจริงๆ หากแต่เวทย์พลังของมันจำต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะเร่งเร้าพลังได้ถึงขีดสุด…จากความเร็วก่อนที่มันจะหยุดร่าง…พลังเซียนต้นกำเนิดในร่างของมันตอนนี้สมควรไม่ด้อยไปกกว่าพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!!” ไม่นานผู้ปีศาจสุกรทั้งก็หารือกัน ด้วยเพราะตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ หลังจากพบเรื่องนี้พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะผงะพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง “ในโลกกลับมีเวทย์พลังสนับสนุนยอดเยี่ยมเช่นนี้ด้วยหรือ?” “เรื่องเวทย์พลังนั่นยังมิใช่ประเด็น…ประเด็นคือในเผ่าปีศาจมนุษย์ปรากฏตัวตนเช่นตัวบัดซบนี่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด!” “แม้มันจะใช้เวทย์พลังสนับสนุน แต่พลังที่มันเผยออกยามนี้ก็ไม่ได้ต่างใดไปจากเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนทั่วๆไป!” “แต่ก็เท่านั้น…อาศัยเพียงระดับพลังเท่านี้ไม่ควรฆ่าหลานท่านผู้เฒ่าอาวุโสทั้ง 3 ได้! พวกเจ้าต้องทราบด้วยว่าม่านพลังป้องกัน 3 ประสานของพวกเด็กน้อยนี่ กระทั่งพวกเราเองก็มิอาจทำลายได้ในเวลาอันสั้น” “มิผิด…เด็กน้อยทั้ง 3 สมควรนั่นสมควรปลอดภัยใต้ม่านพลังนั่น จนกระทั่งผลของเวทย์พลังสนับสนุนตัวบัดซบนั่นหมดเวลา” … ในขณะที่ผู้นำเผ่าปีศาจทั้ง 3 กำลังสงสัย ฉากเรื่องราวก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง สุดท้ายพวกมันก็ได้รู้… ได้รู้ว่าไฉนหลานแฝด 3 ของผู้เฒ่าอาวุโสของพวกมันถึงได้ตายตก! “ตะ…ตราผนึกมาร!? นั่นมันยอดศาสตราเซียน ‘ตราผนึกมาร’ งั้นเหรอ?!” “บ้าน่า! ตราผนึกมารไปอยู่ในมือเผ่าปีศาจมนุษย์ได้อย่างไรแล้วไฉนมันถึงใช้ได้เล่า? ต่อให้มันมิได้มีสายเลือดปีศาจ แต่ก็มิใช่มันบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชามารหรือไร…พลังในร่างผู้ฝึกมารก็ไม่ต่างใดจากปีศาจอย่างพวกเรา แล้วไฉนมันใช้ตราผนึกมารได้เล่า!?” “ข้าว่าพวกเราผิดกันตั้งแต่แรก…เจ้านั่นมันมิใช่คนของเผ่าปีศาจมนุษย์…แต่มันเป็นมนุษย์! ยังสมควรเป็นยอดฝีมือของดินแดนเซียนแห่งนี้!!” “มนุษย์? ใช่แล้ว! มันต้องเป็นมนุษย์! มันต้องเป็นมนุษย์!!” … เมื่อเห็นปีศาจสุกรแฝด 3 เผชิญหน้ากับตราผนึกมาร จนสุดท้ายได้เห็นฉากตราผนึกมารสังหารทั้ง 3 ในชั่วพริบตา ลูกตาของผู้นำเผ่าปีศาจทั้ง 3 ก็หดเล็กลง…
คอมเม้นต์