War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1694

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1694 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 1,694 : ทุกความสนใจเทไปที่ลี่เฟิง!
 
“เรื่องนี้ยังไม่ชัดอีกหรือไร? หากมันไม่ปกปิดพลังเอาไว้ หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อย่อมบังเกิดความหวั่นเกรงต่อมัน เช่นนั้นมันคงมิมีโอกาสลงมือ…ที่มันปล่อยให้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อมีโอกาสลงมือ ท่าทางจะมีเจตนาฆ่าคนแต่แรก…”
 
“ตอนแรกข้าหลงคิดว่าฉีจิ้งคงมิอาจทำอะไรได้…แต่ไม่คิดเลยว่าที่แท้มันจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!!”
 
“นั่นสิ! หากฉีจิ้งเผยพลังฝึกปรือนี้แต่แรก พวกเราคงไม่คิดว่ามันหยิ่งผยองหรือลำพองอันใด ที่หาญกล้าท้าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อพร้อมกัน!”
 
“เป็นมันจงใจกระทำเช่นนี้ไม่ผิดแน่…หากมันเปิดเผยพลังฝึกปรือแต่แรก ต่อให้เป็นการกลุ้มรุม แต่น่ากลัวว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อคงเลือกที่จะไม่สู้กับมัน!”
 
“ถูกแล้ว…นี่หมายความว่าใจของฉีจิ้งนั้นอำมหิตนัก!”
 
……
 
ผู้คนกระซิบกระซาบกันขณะมองไปยังร่างฉีจิ้งด้วยสายตาหวาดกลัว
 
รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าเริ่นจง อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ยังมีฉีเสิ่นอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ต่างมองไปยังฉีจิ้งด้วยสายตาซับซ้อน มากสงสัย
 
ผู้ฝึกมารไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกมัน
 
ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังรู้จักผู้ฝึกมารมากมาย รับทราบความสามารถของเคล็ดวิชาบ่มเพาะสายมารเลิศล้ำมาก็ไม่น้อย และยังรู้ถึงเรื่องที่เคล็ดบ่มเพาะพลังของฝ่ายมารนั้นเป็นอะไรที่ก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าปกติมากมาย
 
อย่างไรก็ตามแม้ฉีจิ้งจะกลายเป็นผู้ฝึกมารไปแล้ว แต่ทว่าความเร็วในการทะลวงขอบเขตพลังในเวลาเพียงแค่ 1 ปีนี้ จากเซียนขัดเกลาขั้นต้นเป็นขั้นสูงสุด มันจะไม่รวดเร็วดั่งนิทานอภินิหารไปหน่อยหรือ?
 
นี่มันบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามารอะไรกันแน่?
 
เพราะถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกมารที่ลือชื่อมากเพียงใด แต่พวกมันก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถบ่มเพาะทะลวงด่านพลังจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในเวลาแค่ 1 ปี!
 
“กระทั่งในขุมพลังระดับแนวหน้า ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็คงมิมีผู้ใดสามารถทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดในเวลาแค่ปีเดียวมิใช่หรือ?”
 
“ฉีจิ้งมันยกระดับพลังฝึกปรือมาอย่างไรกันแน่?”
 
“น่าเสียดายที่ข้าคงมิมีวันรู้ว่ามันไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันใดมา…อย่างไรเสียมันก็เป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง พวกเรายังจะมีปัญญาบังคับให้มันกล่าวได้หรือ?”
 
……
 
เริ่นจงกับหลิวหงกวงหันมองหน้ากัน และต่างส่งสายตาเหลือเชื่อให้กัน
 
ความก้าวหน้าในเวลาแค่ 1 ปีของฉีจิ้งทำให้พวกมันตื่นตระหนกแล้วจริงๆ
 
แม้พวกมันจะอยากรู้แทบตายว่าฉีจิ้งไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อะไรมา แต่พวกมันก็รู้ดีว่าฉีจิ้งคงไม่มีวันปริปากบอกถึงเรื่องนี้แน่นอน!
 
ทุกผู้คนล้วนมีความเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกมันไม่ใช่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลย
 
“เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดงั้นเหรอ…”
 
ห่างออกไปไม่ไกล สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองฉีจิ้งเผยประกายเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
 
ตอนแรกทันทีที่เขาเข้าใจถึงขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่อย่าง เงากระบี่สัมพันธ์ใจ เขาก็มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าสามารถฆ่าฉีจิ้งได้ง่ายๆ
 
แน่นอนว่านั่นคือฉีจิ้งที่มีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ
 
แต่กับฉีจิ้งที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดนั้น แม้เขาจะบรรลุขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่แล้ว เขาก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่ามั่นใจเต็มสิบส่วน
 
‘โชคยังดีที่ข้าสามารถตระหนักได้ถึงขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ได้ทันเวลา…ไม่งั้นขืนทะลึ่งขึ้นไปปะทะกับมันที่อยู่ในขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดตอนแรก คงเป็นเรื่องโชคดีที่มันฆ่าข้าไม่ได้ แต่ข้าคงไม่มีทางฆ่ามันได้แน่’
 
มาถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนลอบดีใจไม่น้อย
 
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ลืมว่าขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ของเขาบรรลุได้อย่างไร เขาจึงหันมองไปยังจุดที่ร่างจิ้งชวีจื่อถูกฆ่าตายและนอนแน่นิ่งอยู่ด้วยสายตารำพึง ‘จิ้งชวีจื่อ เป็นเพราะกระบี่หยินหยางทวิภาวะของเจ้าแท้ๆ ถึงทำให้ข้าเข้าใจขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่ ได้ทันที…’
 
‘เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะฆ่ามันล้างแค้นให้เจ้าเอง..’
 
หลังกล่าวรำพันในใจ สองตาที่มองร่างจิ้งชวีจื่อตกตายของต้วนหลิงเทียนก็ทอแสงสว่างเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง
 
เขาที่บรรลุถึงขอบเขตที่ 2 ของยอดใจกระบี่แล้ว จึงไม่ได้หวาดกลัวฉีจิ้งที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแม้แต่น้อย
 
แต่แน่นอนว่าเรื่องที่จะฆ่ามันได้แน่ๆ เขาก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปาก
 
จากการประเมินคร่าวๆของเขา หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกำลังภายนอกอะไร ความแข็งแกร่งของเขากับฉีจิ้งตอนนี้ ไม่ควรแตกต่างกันมากนัก
 
ถึงแม้เขาอาจจะแข็งแกร่งกว่ามัน ก็อาจจะเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
 
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ต้วนหลิงเทียนก็ต้องสู้กับฉีจิ้งให้ได้ เพราะนี่เป็นโอกาสที่ประจวบเหมาะและดีที่สุดที่เขาจะฆ่ามันเพื่อคลี่คลายวิกฤติให้หานเฉวี่ยไน่!
 
หากฉีจิ้งไปตกตายนอกการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง จะมากจะน้อยคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องคิดว่าคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานมีเอี่ยวด้วยแน่นอน และนั่นไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็นเลย เขาจึงเลือกออกเดินทางมายังเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเพียงลำพังแบบนี้
 
หากจะกล่าวว่า ตอนแรกที่ต้วนหลิงเทียนต้องการฆ่าฉีจิ้งเพราะอยากช่วยหานเฉวี่ยไน่อย่างเดียวล่ะก็
 
มาตอนนี้เขาพลันมีเหตุผลให้ต้องฆ่ามันเพิ่มขึ้นอีกข้อแล้ว
 
ถึงแม้เขากับจิ้งชวีจื่อจะไม่รู้จักมักจี่กระทั่งไม่เคยคุยกัน แต่เป็นเพราะจิ้งชวีจื่อคนเดียว ที่ทำให้เขาเข้าใจถึงสภาวะความเหมือนในความต่าง ที่บังเกิดขึ้นในทวิภาวะ! ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสำนึกบุญคุณ และอยากตอบแทนอีกฝ่าย
 
ต้วนหลิงเทียนไม่ชอบติดค้างผู้ใด กระทั่งคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เว้น
 
เช่นนั้นเขาจึงคิดฆ่าฉีจิ้งเพื่อตอบแทนจิ้งชวีจื่อ
 
แววตาของต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งเผยประกายคมกล้า
 
“นายน้อย…ที่แท้กลับบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดจริงๆ!?”
 
ตอนนี้เองคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต่างรู้สึกอื้ออึงไม่เข้าใจ
 
ในฐานะที่พวกมันเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง พวกมันย่อมรู้ไส้รู้พุงของฉีจิ้งดีกว่าใคร ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงประหลาดใจมากกว่าคนอื่นหลายเท่า!
 
แน่นอนว่าที่พวกมันพึ่งรู้สึกตัว เป็นเพราะพลังฝึกปรือของพวกมันไม่สูงส่งอะไร
 
ในบรรดาคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีเสิ่นในฐานะอาวุโสหลักได้ตื่นจากอาการตกตะลึงมานานแล้ว ยังรู้สึกตัวก่อนใคร
 
‘มัน…กลับทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้วจริงๆ’
 
ใบหน้าชราของฉีเสิ่นกระตุกไปไม่หยุด ในแววตายังเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
 
มันไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าฉีจิ้งทำได้อย่างไรกันแน่ ทั้งๆที่ปีที่แล้วอีกฝ่ายพึ่งจะอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น
 
นี่เป็นเรื่องที่อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจ และสามัญสำนึกของมันจริงๆ
 
แน่นอนว่าแม้จะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่อยากรู้ว่าฉีจิ้งไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อะไรมา ‘หลังจากมันกลับไปถึงคฤหาสน์ จะอย่างไรมันก็ต้องเอาเรื่องวาสนาปาฏิหาริย์นี้มากล่าวบอกต่อสภาอาวุโส…ถึงตอนนั้นหากสิ่งที่มันพบเจอสามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ มิใช่ว่าพลังฝึกปรือของข้าก็จักก้าวหน้าขึ้นอย่างเร็วเช่นกันหรือ!?’
 
พอคิดถึงเรื่องนี้ใจที่หมองเศร้าของฉีเสิ่นหลังสูญเสียหลายชานคนเดียวอย่างฉีค่านไป ก็เริ่มบรรเทาทุเลาลง
 
ไม่ว่าจะอะไรยังไง นับว่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ล้วนตกใจไม่น้อยกับความสามารถของฉีจิ้ง ต่างหันมองฉีจิ้งกันตาลุกวาว!
 
“ฉีจิ้งข้ามิคิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดได้ในเวลาเพียงแค่ 1 ปี…ข้าเชื่อว่าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยในความก้าวหน้านี้ของเจ้า ว่าทำอย่างไรถึงสามารถทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงขั้นสูงสุดได้ในเวลาเพียงแค่ 1 ปีทั้งสิ้น…มิทราบว่าเจ้าพอจะแบ่งปันข้อมูลนี้ออกมาได้หรือไม่?”
 
เริ่นจงมองถามฉีจิ้งออกมาทันที
 
แม้มันรู้ดีว่าฉีจิ้งคงไม่บอก แต่มันอดถามออกมาไม่ได้
 
พอได้ยินเริ่นจงกล่าวถามเรื่องนี้ หลิวหงกวงเองก็หันไปมองฉีจิ้งด้วยสายตาคาดหวังเช่นกัน
 
และไม่ว่าจะเป็นคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอันมีฉีเสิ่นเป็นผู้นำ หรือกระทั่งคนนอกอื่นๆไม่เว้นต้วนหลิงเทียน ก็มองไปที่ฉีจิ้งเช่นกัน
 
แม้คนของวัดฟ่านเทียนกับศาลเจ้าชุนหยางจะมองฉีจิ้งด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง แต่ในแววตาก็เผยให้เห็นความคาดหวังออกมาเล็กน้อย
 
เป็นที่แน่นอนแล้วว่าไม่มีใครไม่สนใจวาสนาปาฏิหาริย์ที่ฉีจิ้งพบพานมาตลอดปีที่ผ่าน!
 
1 ปีพลังฝึกปรือก้าวหน้าจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นมาเป็นเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด มันเป็นอะไรที่เกินจริงเกินไป!
 
ห่างออกไปไกลๆ ชายหนุ่มหลังค่อมที่ติดตามฉีจิ้ง ก็มองชมนายน้อยของตัวที่เป็นจุดสนใจด้วยความหน้าชื่นตาบาน
 
แม้มันจะไม่ได้มีสถานะอะไรในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่มันก็เป็นคนเดียวที่ล่วงรู้ ‘ความลับ’ ของนายน้อยมัน!
 
แน่นอนถึงแม้ว่ามันจะล่วงรู้แต่มันก็ไม่กล้าเปิดเผยอะไรออกมาเด็ดขาด เพราะมันได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์ไปแล้ว หากมันละเมิดคำสาบาน มันได้โดนอัสนีสวรรค์จากทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าพิฆาตร่างตายตกแน่!
 
“รองผู้นำเริ่น ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่…ข้ายอมรับว่าข้าได้พบพานวาสนาปาฏิหาริย์โดยบังเอิญเมื่อปีที่แล้ว หากแต่วาสนานี้มิอาจทำซ้ำได้ มีผู้สืบทอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น…และผู้ที่โชคดีคนนั้นก็คือข้า”
 
เผชิญหน้ากับคำถามของเริ่นจง ฉีจิ้งกล่าวตอบออกไปอย่างใจเย็น
 
“ช่างน่าเสียดายนัก”
 
เริ่นจงพอได้ยินก็ถอนหายใจออกมา แต่เรื่องที่มันจะเชื่อคำพูดฉีจิ้งหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
 
แน่นอนว่าเรื่องที่มันจะเชื่อหรือไม่ใช่ ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับฉีจิ้ง
 
ฉีจิ้ง หลังจากที่สังหารหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อไปแล้ว ก็กลายเป็นจ้าวเวทีอีกครั้ง
 
ตอนนี้เองดวงตะวันบนฟ้าก็เริ่มคล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตกเต็มที คาดว่าอีกราวๆ 1 ชั่วยามมันก็จะลาลับขอบฟ้าไป
 
หลังจากที่ฉีจิ้งกลายเป็นจ้าวเวที ตอนนี้ก็มีจ้าวเวทีทั้งสิ้น 9 คน
 
สุดท้ายผู้ฝึกตนพเนจรที่มีด่านพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นต้นที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง ก็ขึ้นมาเป็นจ้าวเวทีคนสุดท้าย
 
ต่อมายอดฝีมอขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้น 2 คนที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าฉีกังกับคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่มาเตี๊ยมกับฉีจิ้ง ก็เอาชนะพวกมันทั้งคู่และชิงตำแหน่งจ้าวเวทีมา กลายเป็นจ้าวเวทีที่มีพลังฝีมือที่แท้จริง
 
เห็นฉากนี้หลายคนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
 
ถึงแม้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจะมีพลังฝีมือเทียบกับฉีจิ้งไม่ได้ แต่พลังฝีมือของพวกมันก็มากพอให้ติด 4 อันดับแรกได้ง่ายๆ…
 
น่าเสียดายที่พวกมันชิงตายไปเสียก่อน
 
เป็นธรรมดาที่ไฉนต้องกล่าวว่ามีพลังฝีมือติด 1 ใน 4 อันดับแรก เพราะตอนนี้มีผู้ฝึกตนพเนจรแสนลึกลับอย่างต้วนหลิงเทียน หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนามลี่เฟิงปรากฏตัวขึ้นมา
 
แม้ต้วนหลิงเทียนจะลงประลองเพียง 2 รอบ แต่เขาก็ฆ่าฉีค่านหลานชานอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีเสิ่นได้ง่ายดาย นั่นนับเป็นข้อพิสูจน์พลังฝีมือของเขาแล้ว
 
ในสายตาของทุกคน น่ากลัวว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ที่เจียนทะลวงฝ่าไปถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญเต็มที!
 
หรืออาจจะเป็นเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้วก็เป็นได้ ยากที่ใครจะล่วงรู้
 
“ลี่เฟิงฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปถึง 2 คน แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นหลานชายของอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…ข้าสงสัยนักว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งจะท้าประลองกับลี่เฟิงหรือไม่?”
 
ไม่นานก็มีคนมองต้วนหลิงเทียนและสลับไปมองฉีจิ้ง ค่อยกล่าวถามออกมาลอยๆด้วยความสงสัย
 
แม้เสียงของมันจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ในขณะที่ทุกคนเงียบกันหมด เสียงมันก็ดังพอให้ทุกคนได้ยิน
 
ทันใดนั้นทุกคนก็หันมามองต้วนหลิงเทียนสลับกับฉีจิ้งทันที
 
กระทั่งฉีเสิ่นยังมองไปที่ฉีจิ้งด้วยความคาดหวัง แม้มันจะรู้ดีว่าลี่เฟิงสมควรยอมรับความพ่ายแพ้ทันทีที่ฉีจิ้งท้าประลอง แต่มันก็หวังว่าฉีจิ้งจะท้าประลองอีกฝ่ายเพื่อฉุดลากอีกฝ่ายให้ตกต่ำ
 
สำหรับชีวิตของลี่เฟิง มันจะหาหนทางจัดการด้วยตัวเองในวันหน้า!
 
ต่อให้อีกฝ่ายจะเข้าร่วมคฤหาสน์ข้ามฟ้าหรือคฤหาสน์คลื่นคลั่งไปแล้วก็ตามที!
 
หนี้เลือดที่อีกฝ่ายฆ่าหลานชายมัน! หากมันไม่ตายมันไม่มีวันเลิกรา!!
 
‘ถึงมันไม่ท้าทายข้า แต่ข้านี่ล่ะจะหาทางท้าทายมันเอง…’
 
สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมารอบๆ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะในใจขณะมองไปยังฉีจิ้ง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด