War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2648

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2648 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

WSSTH ตอนที่ 2,648 : ได้แต่พึ่งตัวเอง
 
 
“ใต้เท้าเจ้าเมืองเช่นนั้น…มิใช่ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังตกอยู่ในอันตรายหรือ?”
 
ได้ยินคำของหลิ่วเฟิงกู่ ผู้เฒ่าหงอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ค่อยกล่าวออกด้วยทีท่าหวาดกลัวว่า “หรือ…ใต้เท้าเจ้าเมืองจะใช้ยันต์อมตะแจ้งต้วนหลิงเทียนดี?”
 
“เพราะหากได้รับคำเตือนจากท่าน ต้วนหลิงเทียนจะได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าได้หาทางรับมือโจวทงทัน…”
 
ผู้เฒ่าหงกล่าว
 
“ผู้เฒ่าหง”
 
ได้ยินคำของผู้เฒ่าหง หลิ่วเฟิงกู่ก็ถอนหายใจ “เรื่องที่ท่านกล่าวข้าก็คิดไว้แล้ว…แต่ท่านคิดว่ายันต์อมตะสื่อสารที่ข้าส่งไป ยังจะถึงมือต้วนหลิงเทียนได้อย่างราบรื่นหรือ?”
 
“หากข้าไม่ใช้ยันต์อมตะสื่อสารระดับต้าหลัวจินเซียน ความหวังที่มันจะไปถึงจวนผู้ว่ายังเลือนรางนัก ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จะเล็ดลอดหูตาโจวทงไปถึงมือต้วนหลิงเทียนเลยด้วยซ้ำ”
 
ยัตน์อมตะสื่อสาร ก็คือยันต์อมตะที่ใช้ไว้ส่งข้อความ
 
แน่นอนว่ายันต์อมตะสื่อสารก็มีหลายระดับสูงต่ำแตกต่างกันไปตามพลังของผู้สร้าง ยันต์อมตะของยอดฝีมือระดับสูงๆ ไม่เพียงส่งผ่านข้อมูลได้เร็วไว ยังป้องกันไม่ให้ผู้อื่นดักจับพลังอาคมที่พุ่งไปได้ทัน!
 
ยกตัวอย่างหลิ่วเฟิงกู่
 
หลิ่วเฟิวกู่เป็นแค่จินเซียนตะวันคราม แม้จะมียันต์อมตะสื่อสารใช้งาน แต่ก็เป็นยันต์ที่มันทำขึ้นมาด้วยตัวเอง
 
และยันต์อมตะสื่อสารที่มันทำขึ้นเอง ขอเพียงเป็นตัวตนที่พลังฝึกปรือขอบเขตจินเซียนตะวันครามขึ้นไป หากคิดจะหยุดยั้งดักจับก็ทำได้ง่ายๆ
 
และระยะทางจากเมืองเฉวี่ยโยวไปยังเมืองประจำมฑลจิ่วโยวก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ส่งยันต์อมตะสื่อสารออกไปดื้อๆ มีโอกาสสูงนักที่จะถูกดักไว้ระหว่างทาง! ยากจะไปถึงเมืองประจมณฑลจิ่วโยวด้วยซ้ำ ไม่ต้องกล่าวถึงเข้าไปในจวนผู้ว่าเลย!!
 
หากคิดใช้ยันต์อมตะสื่อสารส่งผ่านข้อมูลไปหาต้วนหลิงเทียนจริงๆ เกรงว่าต้องเป็นยันต์อมตะสื่อสารที่สร้างขึ้นจากน้ำมือของตัวตนขอบเขตต้าหลัวจินเซียนเท่านั้น…
 
นั่นเพราะยันต์อมตะสื่อสารที่สร้างขึ้นจากต้าหลัวจินเซียน ก็มีแต่ต้าหลัวจินเซียนที่มีพลังฝึกปรือเท่าเทียมหรือเหนือกว่าจะหยุดได้
 
เช่นเดียวกับตอนที่โจวเฟยถูกต้วนหลิงเทียนตัดแขนขา มันเองก็ใช้ยันต์อมตะสื่อสารของโจวทงเพื่อส่งออกไปเช่นกัน และนั่นก็คือยันต์อมตะที่บิดาบุญธรรมของมันผู้เป็นต้าหลัวจินเซียนขั้นเหลืองสร้างขึ้นด้วยมือตัวเอง…
 
“ยิ่งไปกว่านั้นแม้ข้าจะมียันต์อมตะสื่อสารของต้าหลัวจินเซียนในมือ…แต่เจ้าคิดหรือว่าโจวทงที่ได้รับทราบถึงความไม่ธรรมดาของต้วนหลิงเทียนแล้ว มันจะยังมีวันยอมให้ยันต์อมตะสื่อสารใดไปถึงมือต้วนหลิงเทียน?”
 
“ข้าเชื่อว่าตอนนี้มันจะมากจะน้อยต้องจับตาดูต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างใกล้ชิดเพื่อรอโอกาสเหมาะๆ ไม่มีทางที่มันจะปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนคลาดสายตา หรือมีโอกาสได้รับการแจ้งเตือนใดๆแน่…”
 
กล่าวถึงจุดนี้หลิ่วเฟิงกู่ก็หยุดลงครู่หนึ่ง ค่อยพูดต่อ
 
“เช่นนั้นครานี้ไม่ว่าต้วนหลิงเทียนตะรอดพ้นหายนะหรือไม่ พวกเราก็มิอาจช่วยอันใดเขาได้เลย…ทุกประการ เขาได้แต่พึ่งพาตัวเองเท่านั้น!”
 
หลิ่วเฟิงกู่กล่าว
 
ได้ยินคำพูดของหลิ่วเฟิงกู่ ผู้เฒ่าหงก็เงียบไปพักหนึ่ง
 
พอคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
 
หลังผู้เฒ่าหงที่ไม่มีอะไรแล้วกลับไปพัก สีหน้าตึงเครียดของหลิ่วเฟิงกู่ก็คลายตัวลง ถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ เอ่ยขึ้นเบาๆว่า “ต้วนหลิงเทียนข้าหวัง่าเจ้าจะรอดพ้นเภทภัยครั้งนี้ไปได้…หาไม่แล้วข้าคงไม่เหลือหนทางล้างแค้นในอดีตได้อีกต่อไป…”
 
หลิ่วเฟิงกู่ย่อมคาดเดาจุดจบได้
 
หากต้วนหลิงเทียนเกิดเรื่อง โจวทงย่อมไม่คิดปล่อยมันอีกต่อไป
 
สุดท้ายโจวทงก็ไม่อยากให้มีคนอย่างต้วนหลิงเทียนเกิดขึ้นเป็นคนที่ 2!
 
ในอดีตเป็นเพราะมันอาศัยอยู่ในเมืองเฉวี่ยโยวเงียบๆ ทำให้โจวทงไม่รู้สึกว่ามันจะมีพิษมีภัยอะไร โจวทงจึงคร้านจะมาจัดการมันเพราะเห็นแก่หน้าผู้ว่า…
 
แต่คราวนี้ เมืองเฉวี่ยโยวกลับปรากฏตัวตนอย่างต้วนหลิงเทียนขึ้น!
 
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเดินทางไปจวนผู้ว่าก็ได้รับการสนับสนุนจากมัน ได้ใช้ห้องบ่มเพาะส่วนตัวของมัน…
 
ตราบใดที่โจวทงไม่ใช่คนโง่เขลา มันย่อมตระหนักได้ถึงภัยคุกคามที่แฝงอยู่ในเรื่องราวดังกล่าว
 
เช่นนั้นเมื่อโจวทงขจัดภัยคุกคามเหนือคาดคิดอย่างต้วนหลิงเทียนไปแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีตัวอย่างต้วนหลิงเทียนขึ้นมาอีก โจวทงย่อมไม่ปล่อยให้ตัวมันเหลือลมหายใจไว้ก่อการใดๆในโลกต่อแน่
 
และมันก็แทบจะมั่นใจได้เต็มสิบส่วน…
 
ต้วนหลิงเทียนเกิดเรื่องเมื่อไหร่ มันได้ตายอนาถแน่!
 
“ใต้เท้าเจ้าเมือง…!!”
 
ทันใดนั้นเองมีเสียงชราหนึ่งดังขึ้นด้วยความเร่งรีบ เป็นผู้เฒ่าหงที่จากไปก่อนหน้าย้อนกลับมาอีกครั้ง มาถึงก็เร่งพูดให้หลิ่วเฟิงกู่ฟังว่า…
 
“ข้าพึ่งได้รับข่าวล่าสุดมา เห็นว่าเมื่อ 1 ปีก่อนมีทูตพิเศษจากพระราชวังฉินไปเยือนจวนผู้ว่า…เพื่อแจ้งว่าพระราชวังฉินคิดจัดการประลอง 16 มณฑลขึ้น และผู้ที่ทำผลงานดีที่สุด 3 อันดับแรก จะได้รับโอสถทิพย์ระดับกลาง โอสถต้าหลัว!”
 
“ยิ่งไปกว่านั้น แม้การลงมือก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนจะละเมิดกฏของผู้ว่าที่ตั้งไว้ในหลุมมังกรซ่อน แต่ผู้ว่าก็ไม่หาความ ยังให้อาวุโสฝ่ายในนามเจิ้งชิวแบกหม้อก้นดำแทน ทั้งหมดเพื่อให้ต้วนหลิงเทียนปลอดภัย!”
 
“จากเรื่องนี้…เห็นได้ชัดว่าผู้ว่าใส่ใจต้วนหลิงเทียนยิ่ง! กระทั่งยังหวังจะได้รับโอสถต้าหลัวจากพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน!!”
 
“ท่านกับข้าก็รู้ดีว่าผู้ว่าติดจุดรอคอยขั้นพลังมานานนับร้อยๆปีแล้ว เช่นนั้นไม่มีทางที่จะยอมแพ้เรื่องโอสถต้าหลัวแน่!”
 
“และเพื่อให้ได้รับโอสถต้าหลัวมาครองให้จงได้ ผู้ว่าย่อมต้องพยายามปกป้องต้วนหลิงเทียนอย่างดี ทั้งช่วยสนับสนุนส่งเสริมเรื่องการบ่มเพาะ ไม่มีทางปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนถูกโจวทงเล่นงานได้โดยง่ายเป็นแน่!”
 
เมื่อผู้เฒ่าหงกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดลงครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวต่อว่า
 
“ใต้เท้าเจ้าเมือง…เช่นนี้มิสู้ท่านไปบอกผู้ว่าเรื่องความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนเล่า? ถึงตอนนั้น 5 ใน 10 ผู้ว่าย่อมไม่มีทางปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนตกอยู่ในเงื้อมมือโจวทงแน่!”
 
ผู้เฒ่าหงกล่าววออกมารวดเดียวจบ
 
“ที่ท่านพูดข้าก็มีคิดไว้แล้ว…”
 
หลิ่วเฟิงกู่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน “เพียงแต่ท่านคิดง่ายเกินไป…”
 
“ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่โจวทงอาจระวังตัวแจถึงขึ้นมิปล่อยให้พวกเราติดต่อผู้ว่าได้โดยง่าย…ถึงแม้พวกเราจะติดต่อผู้ว่าได้จริงๆ แต่เจ้ายังมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ว่าจะไม่กลายเป็นโจวทงคนที่สองเสียเอง? เจ้าต้องทราบด้วยว่าวรยุทธ์และเวทย์พลังระดับสวรรค์นั้นมันไม่ได้เย้ายวนใจด้อยกว่าโอสถต้าหลัวแม้แต่น้อย!”
 
หลิ่วเฟิงกู่กล่าว
 
ได้ยินคำหลิ่วเฟิงกู่ ผู้เฒ่าหงก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ “ข้ากลับเลอะเลือนไม่แจ่มใสเช่นใต้เท้าเจ้าเมือง…ในเมื่อข้าคิดได้ ไฉนใต้เท้าเจ้าเมืองจะคิดเรื่องฝากฝังให้ผู้ว่าดูแลต้วนหลิงเทียนไม่ได้…”
 
“ดูเหมือนครานี้ ต้วนหลิงเทียนมีแต่ต้องพึ่งพาตัวเองแล้วจริงๆ”
 
เอ่ยถึงประโยคท้าย ผู้เฒ่าหงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
 
ต้วนหลิงเทียนยอมไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองเฉวี่ยโยวบ้าง
 
ตอนนี้เขายังคงบ่มเพาะพลังอยู่
 
นับตั้งแต่ที่เขาได้โอสถเสริมวิญญาณจากโจวทง ทั้งโอสถกระตุ้นวิญญาณมาจากผู้ว่า เขาก็ปิดด่านบ่มเพาะอย่างลืมวันคืน หมายยกระดับพลังฝึกปรือให้ได้เร็วไว…
 
และประสิทธิผลของโอสถกระตุ้นวิญญาณและโอสถเสริมวิญญาณก็ถูกเขาดูดซับอย่างต่อเนื่อง…
 
เขาบ่มเพาะจนลืมเลือนเวลาไปอีกแล้ว
 
ถึงแม้ในระหว่างบ่มเพาะเขาจะพบจุดรอคอย จนพลังก้าวหน้าช้าลง หากแต่เขาก็ไม่หยุดยั้ง ยังคงดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินขัดเกลาตามเคล็ดผลึกรัศมีลี้ลับไม่หยุดหย่อน รับประทานโอสถเม็ดแล้วเม็ดเล่า…
 
แน่นอนว่าในระหว่างบ่มเพาะพลังสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือหินอมตะระดับสูง! นับว่านอกจากสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะแล้ว หินอมตะก็มีส่วนช่วยในการบ่มเพาะไม่น้อยเลยทีเดียว!!
 
‘ตอนนี้เหลือโอสถกระตุ้นวิญญาณแค่เม็ดเดียวแล้วงั้นเหรอ…ข้าหวังว่าโอสถเม็ดสุดท้ายนี้จะทำให้ข้าทะลวงจุดรอคอยขั้นพลัง และบรรลุขั้นต่อไปได้สำเร็จ!’
 
ในห้องศิลาที่อยู่ลึกสุดของหลุมมังกรซ่อน ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นเทโอสถกระตุ้นวิญญาณเม็ดสุดท้ายออกมาจากขวดหยกลงฝ่ามือ ก่อนที่จะตบมันเข้าปากอย่างไม่รั้งรอ
 
โอสถทิพย์พอเข้าปาก ก็กลับกลายเป็นกระแสอุ่นร้อนหนึ่งไหลผ่านลำคอ ค่อยกระจายไปทั่วร่างเขาในพริบตา!
 
“โอสถเสริมวิญญาณ”
 
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หยิบโอสถทิพย์ระดับต่ำอีกชนิดอย่าง โอสถเสริมวิญญาณออกมา เพราะตอนนี้โอสถเสริมวิญญาณที่เขากินไปเม็ดสุดท้าย แม้พลังของมันเขาจะยังดูดซับไม่หมดแต่มันก็แทบไม่เหลือแล้ว เขาจึงกลืนลงคอไปอีกเม็ด เพื่อให้มันส่งเสริมพลังโอสถกระตุ้นวิญญาณอย่างต่อเนื่อง หมายทะลวงจุดรอคอยให้จงได้!!
 
หลังจากรับประทานโอสถลงไป ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการโคจรสั่งสมพลัง ตัดขาดทุกสิ่งอย่าง…
 
ในตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลย…
 
ว่าภายในจวนผู้ว่า ได้มีคนมาเฝ้าจับความเคลื่อนไหวประตูศิลาของห้องบ่มเพาะเขาไม่ห่างมาหลายเดือนแล้ว! ช่างเป็นการเฝ้ารออย่างอดทนนัก…!!
 
‘บัดซบ ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมันไม่แม้แต่จะโผล่หัวออกมาสูดอากาศอะไรด้วยซ้ำ…มันมิใช่เป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์หรือไร? ต่อให้จะมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังเพียงใด และมีทรัพยากรบ่มเพาะเลิศล้ำขนาดไหน มันก็ต้องพบเจอจุดรอคอยบ้าง เบื่อหน่ายบ้าง…หรืออย่างน้อยๆ คนเรามิใช่ต้องออกมาสูดอากาศผ่อนคลายอารมณ์บ้างหรือไร? ตัวบัดซบนี่คราก่อนมันก็นั่งแช่มากว่าครึ่งปี พอออกมาไม่ทันถึงวันก็กลับไปนั่งแช่อยู่จะครึ่งปีอีกรอบ! นี่มันไม่คิดจะพักบ้างเลยหรือไร?!’
 
ลึกลงไปในหลุมมังกรซ่อน ห้องศิลาบ่มเพาะรองสุดท้าย โจวเฟยที่กลับมาจากข้างนอกได้สักพักแล้วก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์ดูไม่ได้อยู่บ้าง
 
มันกับบิดาบุญธรรมกลับมาจากเมืองเฉวี่ยโยวหลายเดือนแล้ว
 
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านพวกมันก็ช่วยกันจับตาดูความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนไม่ให้คลาดสายตา
 
เพราะสุดท้ายแล้วพวกมันก็ไม่อาจลงมือเล่นงานต้วนหลิงเทียนคาหลุมมังกรซ่อนได้โดยตรง เพราะทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากแจ้งเตือนผู้ว่าการมฑลจิ่วโยวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ถึงตอนนั้นพวกมันก็ไม่มั่นใจว่าจะได้รับวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับสววรรค์จากต้วนหลิงเทียนแน่หรือไม่…
 
ดั่งคำกล่าวที่ว่า ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด โจวทงนั้นแม้จะเฝ้าจับตาดูต้วนหลิงเทียน ทั้งแผ่สำนึกเทวะตรวจจับความเคลื่อนไหวรอบๆอย่างละเอียด โดยเฉพาะพลังอาคม แต่มันก็ไม่บ่นแม้แต่น้อย
 
กลับกันด้านโจวเฟยเพียงรอไม่กี่เดือน ก็ไม่เหลือความอดทนอีกต่อไป…
 
อนิจจาแม้จะหมดความอดทนแต่สิ่งที่โจวเฟยทำได้อย่างมากก็คือเดินออกมาจากห้องบ่มเพาะ แล้วมานั่งจ้องประตูศิลาห้องบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้ายพลางสาปแช่งในใจ…
 
2 เดือนต่อมา…
 
ครึ่ก!
 
ครืดดด!!
 

 
ทันใดนั้นเองบังเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นจากห้องศิลาที่ลุดที่สุดในหลุมมังกรซ่อน ยังเป็นเสียงดังที่สะเทือนได้กระทั่งปฐพีแล้วจริงๆ เพราะมันคือเสียงประตูศิลาหนักหลายหมื่นชั่งครูดพื้นอย่างแรง!
 
กระทั่งผู้ที่อยู่ในห้องศิลาชั้นบนยังสะดุ้ง…
 
แน่นอนว่าเพียงทำให้ผู้ที่อยู่ห้องศิลาบ่มเพาะชั้นบน ที่จับตาดูความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนอยู่ตลอดเวลาอย่างโจววเฟยสะดุ้งคนเดียวเท่านั้น
 
ผู้อื่นที่อยู่ในห้องบ่มเพาะจะไม่มีทางได้ยินเลย
 
หลุมมังกรซ่อนถูกสร้งขึ้นตามความตั้งใจของเจ้าเมือง วัสดุที่ใช้ก็มีระดับสูงไม่น้อย ยังมีอาคมจำกัดเสียงอีกด้วย
 
‘เสียงนี่มัน…เสียงประตูห้องศิลาของต้วนหลิงเทียนครูดพื้นไม่ผิดแน่!’
 
ลึกลงไปในหลุมมังกรซ่อน โจวเฟยที่นั่งบ่มเพาะพลังไปอย่างเอื่อยเฉื่อยหลังสะดุ้งเพราะได้ยินเสียครูดพื้น มันก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นทันที!
 
ผ่านไปอีกครึ่งปี ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ออกมาเสียที!!
 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด