War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1984
ตอนที่ 1,984 : เจ้าชื่ออะไร? ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬแล้ว และการมาถึงของเขากับอาวุโสเพลิงทองแดงก็เรียกร้องความสนใจของคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย “หืม? ศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬเหรอ?” ศิษย์บางคนที่ตาไวหน่อยก็บอกได้ทันทีว่าชุดที่ต้วนหลิงเทียนสวมใส่ เป็นเครื่องแต่งกายของเหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬ “เมื่อไม่กี่วันก่อนก็มีศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่เข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬจนได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายในไปคน…แต่นี่ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งเดือนทีกลับมีศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬมาอีกคนแล้วเรอะ?” ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งกล่าวออกด้วยความแปลกใจ ถึงแม้จะอยู่ไกลกัน หากแต่ต้วนหลิงเทียนกลับได้ยินวาจาของมันชัดเจน และต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่อีกฝ่ายพึ่งกล่าวถึงเป็นใคร…ไม่พ้นซุนเต๋อแน่นอน! เมื่อสิบกว่าวันก่อน ซุนเต๋อ ได้ประสบผลสำเร็จในการใช้เวทย์พลังปราการเต่าทมิฬอันเป็นเวทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬ ทำให้ไม่เพียงแต่จะได้รับการนิรโทษกรรม ยังได้รับอนุญาติให้เข้าสู่ดินแดนสักดิ์สิทธิ์ในฐานะศิษย์ฝ่ายในอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การที่ต้วนหลิงเทียนมาปรากฏกายที่นี่วันนี้ได้ กล่าวไปล้วนเป็นเพราะซุนเต๋อส่วนหนึ่ง! เพราะสุดท้ายแล้วหากซุนเต๋อไม่สำแดงเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬให้เขาเห็นกับตา เขาคงยากจะตีความปราการเต่าทมิฬได้เร็วขนาดนี้ “ศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬคนนี้คงมิใช่ว่าเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬเหมือนกับคนก่อนหน้าหรอกนะ? เพราะศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษร์จะมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ช่วงนี้ได้ มีเพียงศิษย์ที่เข้าใจเวทย์พลังประจำแท่นหรือไม่ก็ศิษย์อัจฉริยะที่ได้รับการแนะนำจากจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์เท่านั้น” ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตามวาจาของศิษย์คนนี้กลับเป็นที่ขบขันของผู้คน มีไม่น้อยที่หัวเราะเยาะมันออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆ เรื่องแค่นี้เจ้ายังต้องคิดอีกหรือ? เจ้าคิดว่ามันเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬอีกคนรึไง เหลวไหลใหญ่แล้ว!” “ใช่! เวทย์พลังปราการเต่าทมิฬไม่ใช่แค่เพียงเวทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬ ยังเป็นเวทย์พลังป้องกันขั้นสูงที่ร้ายกาจที่สุดของลัทธิบูชาไฟ เจ้าคิดว่ามันเป็นอะไรที่ใครก็เข้าใจได้ง่ายๆรึไง!” “จริง มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ! ในความเห็นข้า…เจ้าหนุ่มนี่ไม่พ้นอัจฉริยะที่ได้รับคำแนะนำจากจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬเป็นการส่วนตัว” “ใช่ เห็นปุ๊บข้าก็คิดว่ามันเป็นอัจฉริยะที่ถูกแนะนำมาเหมือนกัน” … เหล่าศิษย์ฝ่ายในกล่าวถกกันอย่างสนุกสนาน สุดท้ายทั้งหมดก็คิดไปว่าที่ต้วนหลิงเทียนมาอยู่นี่ได้ ไม่พ้นเป็นอัจฉริยะที่จ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬแนะนำมา เห็นผู้คนมากมายเข้าใจผิดแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเฉลยอะไร เพียงยิ้มออกมาอย่างเฉยเมยเท่านั้น อาวุโสลาดตระเวนที่พาต้วนหลิงเทียนมาส่ง พอได้ยินเสียงสนทนาโดยรอบ ก็ส่ายหัวไปมาแต่ไม่พูดอะไรสักคำ เพราะมันรู้ดีแก่ใจ ศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬข้างๆมันคนนี้ ไม่ได้มีใครแนะนำอะไรมาทั้งนั้น แต่อีกฝ่ายกลับแตกฉานเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬแล้วจริงๆ นี่ยังเป็นเหตุผลที่มันพาอีกฝ่ายมาลงทะเบียนถึงที่นี่ด้วยตัวเอง เพราะนี่เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของมันในฐานะอาวุโสลาดตระเวนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ “คนเยอะขนาดนี้เชียว…” หลังต้วนหลิงเทียนติดตามอาวุโสมาถึงจัตุรัสกลางอันมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล และตอนนี้ไม่ว่าเขาจะกวาดตามองไปทางไหนเขาก็เจอแต่ผู้คน! แค่มองแวบเดียวเขาก็บอกได้ว่าสมควรมีคนมาเตร็ดเตร่กันในจัตุรัสแห่งนี้กว่าพันคน! แน่นอนว่าคนหลักพันอาจไม่มากมายเมื่อเทียบกับจำนวนคนในแท่นบูชาจตุรลักษณ์ ทว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ใด? ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ! โดยทั่วไปแล้วหากเป็นศิษย์ที่มีพลังสามารถถึงขั้นเข้ามาอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ต้องเป็นคนที่ได้รับคำแนะนำเป็นการส่วนตัวจากจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์ประจำสังกัด! หรือหากไม่ได้รับคำแนะนำก็ต้องเป็นผู้ที่มีไหวพริบปฏิภาณเลิศล้ำ สามารถทำความเข้าใจเวทย์พลังประจำแท่นบูชานั้นๆได้! หาไม่แล้วก็ต้องเป็นผู้ที่พลังฝึกปรือสูงพอตัว เพราะไม่เพียงแต่พลังฝึกปรือขั้นต่ำจะต้องทะลวงถึงเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ยังต้องผ่านการประเมินทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย!! ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงอดแปลกใจเสียไม่ได้ที่เห็นศิษย์ฝ่ายในนับพันมาเตร็ดเตร่อยู่ในลานจัตุรัส คนหลายพันในจัตุรัสแห่งนี้ แม้อาจไม่ใช่คนของลัทธิบูชาไฟทั้งหมด แต่อย่างน้อยๆก็ต้องมีศิษย์ฝ่ายในนับพันๆแน่นอน! การที่ตัวตนเหนือขอบเขตเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญนับพันมารวมตัวกัน จะให้กล่าวอย่างไรดี? “ที่นี่คือจัตุรัสกลางของเกาะหลักลัทธิบูชาไฟเรา และตรงนี้นับเป็นสถานที่ๆคึกคักที่สุดก็ว่าได้ นอกจากผู้ที่ต้องมาติดต่อเรื่องงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ยังมีเหล่าศิษย์ที่บ่มเพาะพลังถึงจุดรอคอย” “ปกติเหล่าศิษย์ที่บ่มเพาะพลังถึงจุดรอคอย จนยากที่จะบรรลุความก้าวหน้า ก็มักจะมาสนทนาหาความกับคนอื่น บ้างก็ประมือกันเพื่อหาแรงบันดาลใจ เพราะมีหลายคนที่สามารถเข้าใจอะไรได้ระหว่างการประมือจนสามารถทะลวงจุดรอคอยได้” ตอนนี้เองเสียงของอาวุโสลาดตระเวนพลันดังขึ้น บอกให้ต้วนหลิงเทียนรู้ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหน จัตุรัสกลางของเกาะหลักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ “อาวุโส ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีศิษย์ฝ่ายในอยู่กี่คนหรือ?” ต้วนหลิงเทียนที่กวาดตามองไปยังคนนับพันในจุตรัสกลางอีกรอบ อดถามออกมาเสียไม่ได้ “อะไร? พอเจ้าเห็นคนเป็นพันๆในจัตุรัสกลางเจ้าเลยตกใจงั้นหรือ?” อาวุโสลาดตระเวนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม “ก็ใช่” ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปฏิเสธ “แค่จัตุรัสกลางกลับมีศิษย์มารวบตวกันนับพันแล้ว…นั่นหมายความว่าศิษย์ฝ่ายในสมควรมีอย่างต่ำๆ 3 ถึง 5 พันคนใช่หรือไม่?” กล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็มองอาวุโสลาดตระเวนเพื่อยืนยันข้อสันนิษฐาน “ไม่ขนาดนั้น…ศิษย์ฝ่ายในมีไม่ถึง 3,000 คนหรอก” ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน อาวุโสลาดตระเวนพลันส่ายหัวไปมา “อย่างที่ข้าบอกไปเมื่อครู่ เหล่าศิษย์ที่บ่มเพาะพลังถึงจุดรอคอยมักมารวมตัวกันในจัตุรัสกลางแห่งนี้” “จุดประสงค์ของพวกมันก็เรียบง่ายนัก…เพื่อติดต่อกับศิษย์คนอื่นๆในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หวังจักได้รับแรงบันดาลใจหรือรู้แจ้งอะไร จะได้มีโอกาสก้าวหน้าต่อไป” “แรงบันดาลใจทั้งการรู้แจ้งที่ว่าก็ไม่ได้มีแค่พลังฝึกปรือเท่านั้น ยังรวมถึงวรยุทธ์เซียน กลเต๋า กระทั่งเวทย์พลังอีกด้วย” “เจ้าต้องรู้ด้วยว่าศิษย์ฝ่ายในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เรานั้น กว่า 99 ส่วนล้วนยังไม่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์…ส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในขอบเขตเซียนนภาทั้งสิ้น!” “บางคนกระทั่งติดอยู่ในขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดมาแล้วกว่าร้อยปีกระทั่งพันปีก็ยังมี! แต่เหล่านั้นก็มิมีโอกาสทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์! และการที่พวกมันมิอาจทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ หมายความว่าพวกมันก็ไม่อาจกลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงหรืออาวุโสระดับเพลิงทองแดงได้” อาวุโสลาดตระเวนค่อยๆกล่าวอธิบาอย่างมีน้ำอดน้ำทน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับทราบ เขาเองก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพราะสุดท้ายแล้วไม่ใช่คนที่พลังฝึกปรือถึงขอบเขตเซียนนภาขั้นสูงสุดจะสามารถทะลวงผ่านขอบเขตเซียนนภาไปยังเซียนสวรรค์ได้ทุกคน คิดทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์นั้น ต้องพึ่งพา ‘พรสวรรค์’ และ ‘โอกาส’ และในบรรดาผู้ที่คิดทะลวงให้ถึงขอบเขตเซียนสวรรค์นั้น ต้องกล่าวเลยว่าจำต้องพึ่งพาพรสวรรค์กว่า 9 ส่วน! เพราะโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณตำกว่าสีเขียว แทบไม่มีโอกาสทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์เลย ถึงต่อให้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียว ก็มิใช่ว่าอาศัยการบ่มเพาะพลังอย่างเดียวก็จะสามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้แน่ๆ ยังต้องพึ่งพาโอกาสและวาสนาอีกด้วย มีเพียงผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินขึ้นไปเท่านั้น ที่ไม่ต้องพึ่งพาอะไร อาศัยการบ่มเพาะพลังอย่างตั้งใจเพียงอย่างเดียวก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ แต่แน่นอนว่าคนเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดรอคอยเลย ด้วยอะไรหลายๆอย่าต่อให้พรสวรรค์รากวิญญาณสูง ก็มักพบจุดรอคอยเหมือนกันทั้งสิ้น เพียงแค่เป็นจุดรอคอยยาวหรือสั้นเท่านั้น เหมือนดั่งต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ แม้เขาจะมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังให้สูงขึ้นได้โดยไร้จุดรอคอย ผู้ฝึกตนเมื่อบ่มเพาะพลังมาถึงจุดหนึ่งก็จะถึงจุดรอคอย ที่ทำให้รู้สึกว่าไม่อาจบ่มเพาะพลังให้ก้าวหน้ามากไปกว่านี้ในเวลานี้ได้ หากด่านพลังมั่นคงมาแต่แรกทว่ามิอาจก้าวหน้าได้ต้องพึ่งพาแรงบันดาลใจหรือรู้แจ้งอันใด จะเรียกว่าจุดรอคอยยาว อย่างไรก็ตามเหตุผลหลักของต้วนหลิงเทียนล้วนเป็นเพราะเขาก้าวหน้ารวดเร็วเกินไป ด่านพลังของเขายกระดับขึ้นมาในเวลาอันสั้น ทำให้กระทั่งตอนนี้ด่านพลังก็ยังไม่ถึงขั้นมั่นคงสมบูรณ์ จำต้องใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับด่านพลังอย่างสมบูรณ์ เขาถึงจะสามารถบ่มเพาะพลังให้ก้าวหน้าต่อไปได้ สิ่งนี้เรียกว่าจุดรอคอยสั้น “อันที่จริงเหล่าศิษย์ที่เจ้าเห็นนับพันในจัตุรัสกลางตอนนี้ กล่าวไปมันมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนศิษย์ฝ่ายในที่มีด้วยซ้ำ” “เพราะศิษย์ฝ่ายในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เราก็มีเพียงสองพันเศษๆเท่านั้น!” อาวุโสลาดตระเวนกล่าวบอกจำนวนศิษย์ฝ่ายในที่แท้จริงออกมาให้ต้วนหลิงเทียนรู้ เขาจึงตระหนักได้ว่าเขาเดาผิดไปไม่น้อย อย่างไรก็ตามแม้เขาจะเดาผิดไป ทว่าจำนวนศิษย์ฝ่ายในสองพันเศษก็ทำให้เขารู้สึกตกใจอยู่ดี! เพราะนั่นหมายความว่าลัทธิบูชาไฟมีศิษย์ที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนนภาขั้นเชี่ยวชาญขึ้นไปถึง 2,000 กว่าคน! กระทั่งในบรรดาศิษย์เหล่านี้ ส่วนใหญ่พลังฝึกปรือก็บรรลุถึงเซียนนภาขั้นสูงสุดแล้วทั้งสิ้น ‘สมแล้วที่เป็นถึง 1 ใน 3 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขุมพลังของพวกมันไม่ใช่อะไรที่ขุมพลังชั้น 1 จะเทียบได้แม้แต่น้อย…ยังจะนับประสาอะไรกับขุมพลังรองลงมา’ ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มาก จากข้อมูลที่เขาได้รับจากอาวุโสคุมกฏกัวฉงก่อนหน้า… ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของหงชวีนั้น แม้จะเป็นขุมพลังชั้น 3 ของภูมิภาคเบื้องบน… หากแต่พวกมันก็ถูกเข่นฆ่าล้างตระกูลด้วยฝีมือของอาวุโสเพลิงเงินอย่างหลี่อันแค่คนเดียว! ถึงแม้พลังฝีมือหลี่อันจะถือว่าร้ายกาจ เพราะเป็นถึงอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ แต่สิ่งนี้ก็บอกให้รู้ชัดเจนถึงเรื่องหนึ่ง ว่าลัทธิบูชาไฟมีพลังเหนือกว่าขุมพลังชั้น 3 มากมายมหาศาลเพียงใด ‘อาวุโสเพลิงเงินลงมือเพียงลำพัง กลับทำลายล้างขุมพลังชั้น 3 ได้ในเวลาอันสั้น นั่นไม่ได้หมายความว่าอาวุโสเพลิงทองที่แข็งกว่า เพียงลงมือคนเดียวก็สามารถกวาดล้างขุมพลังชั้น 2 ได้ง่ายดายหรือไง?’ ‘แล้วหากชนชั้นรองจ้าวลัทธิกับเหล่าผู้พิทักษ์ลงมือเล่า แต่ละคนไม่ใช่ว่าจะสามารถทำลายขุมพลังชั้น 1 ได้ด้วยตัวคนเดียวเลยรึ?’ คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ มาตอนนี้เขาย่อมตระหนักได้ชัดเจนว่าพลังอำนาจของลัทธิบูชาไฟมันยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ต้องกล่าวถึงศิษย์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อะไร อาศัยเพียงชนชั้นอาวุโสกระจายกำลังกันออกไปตามระดับพลังที่เหมาะสม น่ากลัวว่าจะสามารถก่อการพลิกฟ้าคว่ำดิน กวาดล้างขุมพลังมีอันดับทั้งหลายให้ราบเป็นหน้ากลองได้ง่ายๆ! “สำหรับตำหนักและวังแต่ละหลังที่เจ้าเห็นด้านนั้นกับด้านนี้มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง เจ้าค่อยไปศึกษาเอาเองหลังจากที่เจ้าลงทะเบียนเป็นศิษย์ฝ่ายในแล้วกัน” อาวุโสลาดตระเวนกล่าวออกมาอีกครั้ง และตอนนี้มันก็พาต้วนหลิงเทียนมาถึงเบื้องหน้าอาคารขึ้นทะเบียนศิษย์ใหม่เรียบร้อย ระหว่างทางก็ไม่ได้หยุดพักอะไรเพียงชี้ให้ต้วนหลิงเทียนเห็นคร่าวๆเท่านั้น “ว่าแต่…เจ้าชื่ออะไรรึ?” จนเมื่อจะก้าวเข้าสู่อาคารขึ้นทะเบียนศิษย์ อาวุโสเพลิงทองแดงที่เดินนำ อยู่ๆก็หยุดร่างลงพร้อมหันมากล่าวถาม เพราะตั้งแต่ที่มันได้เจอศิษย์คนนี้ จนอีกฝ่ายสำแดงเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬพร้อมเอกสารนิรโทษกรรมออกมา มันก็พาอีกฝ่ายมาที่นี่เลย มาถึงตอนนี้พึ่งได้ตระหนักถึงบางอย่าง… มันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์คนนี้เรียกว่าอะไร!
คอมเม้นต์