War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1672
ตอนที่ 1,672 : ฉีกัง “เอาล่ะ! วันนี้พอเท่านี้ก่อน การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบรอบคัดเลือกของวันนี้ถือว่าสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ พรุ่งนี้จักเริ่มประลองกันต่อ…” มองไปยังจ้าวเวทีทั้ง 10 บนเวทีเม็ดหมากพักหนึ่ง เริ่นจงพลันกล่าวออกมาเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว “พรุ่งนี้จ้าวเวทีทั้ง 10 จักรอรับการประลองจากผู้อื่นต่อ! สิ้นเสียงเริ่นจงไม่ทันไร ไม่เท้าในมือเริ่นจงพลันโบกสะบัดไปอีกครั้ง พร้อมกันนั้นเองด้านหลิวหงกวงที่อยู่ข้างๆ ก็หยิบค้อนอันเขื่องออกมาหวดทุบไปยังความว่างเช่นกัน ปง! เปรี๊ยง! เสียงสนั่นดังขึ้น 2 เสียงอีกรอบ ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ไม่ทันตอบสนองเรื่องราว ก็พบว่าทุกอย่างเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไป! เวทีเม็ดหมากทั้ง 10 หายไป กระดานหมากหลิงหลงมหึมาเบื้องล่างก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น ทั้งหมดกลับมาอยู่ในหุบเขาหลิงหลงอีกครา “เป็นค่ายกลที่อัศจรรย์อันใดเช่นนี้!” หลายคนที่ได้เห็นกระดานหมากหลิงหลงครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “จ้าวเวทีทั้ง 10 ในวันนี้ มี 3 คนที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด ส่วนอีก 7 ล้วนเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นเชี่ยวชาญ! ข้ามั่นใจว่าไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ต้องมีจ้าวเวทีด่านพลังเซียนขัดเกลาปรากฏตัวออกมาแน่ หาไม่แล้วมากสุดก็สามวัน ผู้ที่ติดอันดับในรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องคงถูกคัดเลือกเรียบร้อย” หลายคนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาในเรื่องนี้ “ว่าแต่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไปที่ใดกันนะ หมดวันแล้วยังไม่มาอีก” หลายคนเริ่มพบว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้ง ยังไม่มาร่วมงานประลอง “หากไม่มาก่อนถึงวันประลองวันสุดท้าย น่ากลัวว่าจะพลาดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องครั้งนี้แล้ว! “ดูเหมือนมันจะไม่สนใจการประลองครั้งนี้เลย” “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก…บางทีมันแค่หยิ่งและคิดจะปรากฏตัวเข้าประลองในวินาทีสุดท้ายก่อนคัดตัวจบล่ะมั้ง?” “เป็นไปได้อย่างยิ่ง” …… ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้คนต่างพากันกล่าวถึงฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอีกครั้ง แต่ละคนล้วนตั้งแง่กับมันทั้งสิ้น นี่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง เป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง! ในสายตาของพวกมันการกระทำของฉีจิ้ง นับว่าลบหลู่และไม่ให้เกียรติการประลองครั้งนี้เลย! หากพวกมันมีสิทธิ์มีเสียงล่ะก็ พวกมันจะลงมติให้ตัดสิทธิ์เข้าร่วมประลองของนายน้อยฉีจิ้งไปเสีย! ‘ฉีจิ้ง นั่นมันไม่โผล่หัวมาจริงๆ…’ ต้วนหลิงเทียนที่ยืนกอดกระบี่นิลสวรรค์อย่างเงียบงัน เดินไปหยุดยังขอบผาด้านหนึ่งของหุบเขาหลิงหลงก่อนที่จะหาซอกหลืบเล็กๆแล้วนั่งลงพิงผนัง สองตาว่ายมองไปทั่วๆหุบเขาหลิงหลง ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเห็นว่าขุมพลังชั้น 4 ทั้ง 3 ก็กลับไปจุดพักผ่อนของพวกมันแล้ว เหล่าขุมพลังชั้น 5 ทั้ง 3 เองก็แยกย้ายกันกลับที่ของตัว ‘คนที่ขึ้นเวทีไปประลองวันนี้ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนของขุมพลังชั้น 5 ทั้ง 3 นั่น…แทบไม่มีคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลย’ หลังจากที่ดูการประลองมาทั้งวัน ต้วนหลิงเทียนก็ทราบเรื่องนี้ดี สำหรับพวกหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจื่อและจงกู้ ก็ยังไม่ได้ลงมืออะไร หาไม่แล้วพวกมันคงไปยืนเป็นจ้าวเวทีจนเบื่อทั้งวันแล้วแน่นอน “หืม?” ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาทางเขา ตอนแรกเขาก็คิดว่าสมควรเป็นหลวงจีนลายบุปผาที่เข้ามาสนทนากับเขาก่อนแต่สุดท้ายก็เลิกสนใจเขาไป ทว่าพอมองย้อนกลับไป ก็พบว่าเจ้าของสายตาดังกล่าวไม่ใช่หลวงจีนลายบุปผา แต่เป็นจิ้งชวีจื่อ! ‘มันมองข้าทำไม?’ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย ลองไถ่ถามตัวเองว่าไปทำอะไรให้เป็นจุดสนใจหรือก็ไม่! แต่หากจะถามว่าเขามีอะไรผิดแปลกไป…ก็แค่เขาอยู่คนเดียวและไม่พูดไม่จากับใคร! แต่นอกเหนือจากจงกู้แล้ว ก็มีเขาเพียงคนเดียวที่ปลีกวิเวกไม่สุงสิงกับใครในหุบเขาหลิงหลงแห่งนี้ คนอื่นๆ อย่างน้อยก็มีสหายมาด้วยกันเป็นคู่ ส่วนมากจะจับกลุ่ม 3-4 คนขึ้นไปทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้เขากับจงกู้ ก็แลดูแปลกแยกผิดจากคนอื่นๆไม่น้อย ‘ดูเหมือนว่ามันจะมองข้าเพราะเห็นข้าอยู่คนเดียวล่ะมั้ง’ ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจหลังเห็นสายตาของจิ้งชวีจื่อ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบว่าจงกู้เองก็หันมามองเขาเช่นกัน เนื่องจากเคยเจอมาแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร อีกทั้งจงกู้ก็ไม่ได้มองเขานานนัก ‘บางทีที่หลวงจีนลายบุปผาเข้ามาคุยกับข้าก็เพราะเห็นว่าข้าอยู่คนเดียวแน่ๆ…เพราะตอนนั้นจงกู้เองก็ยังมาไม่ถึง ข้าก็เลยเป็นคนเดียวที่อยู่ลำพังในหุบเขาหลิงหลง’ ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนคงไม่ทราบว่าเขาเดาถูกแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ที่หลวงจีนลายบุปผาริเริ่มเข้ามาเป็นฝ่ายสนทนากับเขาก่อน ไม่ใช่แค่เพราะเขาอยู่ลำพังอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะความรู้สึกของมันอีกด้วย..สัญชาตญาณของหลวงจีนลายบุปผามันร้องเตือนว่าเขาไมใช่คนธรรมดา! ในสายตาของหลวงจีนลายบุปผา เขาเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่ปกปิดตัวตนมาตลอด และต้องการใช้การประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องเป็นบันได ไต่เต้าและมีชื่อเสียงขึ้นมาในฐานะผู้ที่ติดอันดับรายนามยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง หนึ่งคืนสำหรับผู้ฝึกตนเป็นอะไรที่สั้นนัก เมื่อฟ้าเริ่มสางแสงตะวันเหลืองทองจากปลายขอบฟ้าสาดส่องมาขับไล่ความมืดในหุบเขา ผู้คนก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อในหุบเขาสว่างไสวขึ้นมา เริ่นจงกับหลิวหงกวงก็ลอยขึ้นไปกลางฟ้าและลงมืออีกครั้ง ทำให้กระดานหมากหลิงหลงปรากฏขึ้นอีกครา และทุกคนที่อยู่ในหุบเขา ก็อยู่บนกระดานหมากอันเขื่องอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกรอบ เวทีเม็ดหมากทั้ง 10 ลอยขึ้นไปค้างเติ่งบนฟ้าเหมือนดั่งเดิม ต้วนหลิงเทียนบังเอิญเหยียบอยู่บนเวทีเม็ดหมากสีขาวเวทีหนึ่งอยู่พอดี เขาจึงเลือกที่จะเดินไปหยุดยืนริมขอบๆ กอดกระบี่นิลสวรรค์เอาไว้อย่างเงียบงัน สายตาจับจ้องไปยังพื้นที่ว่างกว้างขวางตรงกลางเวทีเม็ดหมาก ครู่ต่อมาบรรดาจ้าวเวทีทั้ง 10 ของเมื่อวานก็ขึ้นมายืนประจำการอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่ทันไร ผู้คนก็เหินร่างตามขึ้นมาเพื่อท้าประลอง และวันนี้การต่อสู้ก็ดุเดือดกว่าเมื่อวาน แถมบนเวทีเม็ดหมากต่างๆยังมีคนมายืนดูเรื่องราวริมขอบแบบต้วนหลิงเทียนกันมากขึ้น ฉากการประลองใจกลางเวทีเม็ดหมากวันนี้เป็นอะไรที่รุนแรงและโหดร้ายกว่าเมื่อวานไม่น้อย จ้าวเวทีเรียกว่าเปลี่ยนหน้าไปคนแล้วคนเล่า บ้างก็ลาเวทีเพราะยอมแพ้ บ้างก็ตกตายไม่เหลือแม้แต่ศพ นับว่าฉากเรื่องราวเป็นอะไรที่นองเลือดนัก สักพักเรื่องราวบนเวทีก็เริ่มเงียบๆ “ข้าเอง!” เสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศ ปรากฏร่างชายหนุ่มร่างกายบึกบึนเดินออกจากกลุ่มคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ร่างกายของมันเรียกว่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามให้ความรู้สึกเข้มแข็งทรงพลัง ทุกย่างก้าวสง่าผ่าเผยยังแลดูห้าวหาญออกไปในทางดิบเถื่อน มองไปให้ความรู้สึกไม่ต่างใดจากกอริลลากำลังเดินออกจากป่า! ต่อหน้าร่างชายบึกบึนปานกอริลล่าคนนี้ ผู้เข้าประลองหลายคนแลดูเหมือนคนผอมแห้งอมโรคทันที “ในที่สุดคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ลงมือเสียที!” “ข้ารู้จักคนผู้นั้น! นั่นเป็นหลานชายของอาวุโสลำดับที่ 2 ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เรียกว่าฉีกัง! ยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด! มันยังได้รับการยอมรับจากทั้งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องว่าเป็นตัวตนที่เข้มแข็งที่สุดภายใต้ขอบเขตเซียนขัดเกลา!!” “อ๋อ! พอเจ้ากล่าวขึ้นมาข้าก็จำได้ทันที…ที่แท้เป็นฉีกังผู้นั้นนั่นเอง!”…… เมื่อฉีกังปรากฏตัวออกมา พร้อมลักษณะท่าทางดุร้าย มันก็กลายเป็นจุดศูนย์รวมสายตาผู้คนทันที ขณะเดียวกันผู้ที่พอจะจดจำมันได้ก็เริ่มเปิดเผยตัวตนของมันออกมา “หลานชายของอาวุโสลำดับ 2 คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องงั้นเหรอ?” ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะหันมองไปยังร่างใหญ่ของฉีกังที่กำลังเดินไปตรงกลางเวทีเม็ดหมาก “ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดใต้เซียนขัดเกลา พลังฝีมือสมควรร้ายกาจไม่เบา” ด้านเวทีอื่นๆ จ้าวเวทีทั้ง 9 ที่ไม่ถูกท้าประลองก็หันมองมาทางฉีกังเป็นสายตาเดียวกัน อีกทั้งสายตาของทุกคนนอกจากจ้าวเวทีทั้ง 9 ที่ว่างก็หันมามองฉีกังเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้ว ฉีกังก็เป็นคนแรกของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ที่ก้าวเข้าสู่เวทีประลองของการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง!
คอมเม้นต์