War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2586
ตอนที่ 2,586 : ลูกค้านิสัยประหลาด หลังนั่งอยู่ในเหลามาพักใหญ่ ต้วนหลิงเทียนที่จิบสุราไปเพลินๆ ก็ได้ฟังเรื่องราวความเป็นไปต่างๆในเมืองเฉวี่ยโยวไม่น้อย อย่างไรก็ตามเขาพบว่า… ตลอดระยะเวลาครึ่งวันที่เขานั่งแช่อยู่ในเหลา เขากลับไม่ได้รับข้อมูลที่เขาต้องการในตอนนี้เลย! มีเรื่องมากมายที่ได้รู้ แต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เขาอยากรู้ที่สุดในตอนนี้เลย! ‘ทำไงได้ล่ะ…เรื่องที่ข้าอยากรู้มันดันเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดที่ทุกคนในเมืองน่าจะรู้กันอยู่แล้ว เพราะอย่างไรผู้ที่อยู่ในเมืองแบบนี้หากไม่ใช่ชาวสวรรค์ดั้งเดิมที่เกิดที่นี่ก็ต้องเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มานานแล้ว คงไม่มีใครคุยกันถึงเรื่องพื้นฐานที่ผู้มาใหม่อย่างข้าอยากรู้…’ คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะนั่งจิบสุราอยู่ในโถงรวมอีกต่อไป จึงส่งเสียงผ่านพลังไปเรียกหาบริกรที่คอยบริการทันที “เสี่ยวเอ้อ หาห้องส่วนตัวเงียบๆให้ข้าห้องนึงสิ” เขาคิดใช้อีกวิธีในการหาข่าว… “ท่านลูกค้า ค่าบริการในการใช้ห้องส่วนตัวของทางร้านเรา ราคา 10 หินเซียนอมตะระดับต่ำ…ท่านลูกค้ามาคนเดียวเช่นนี้…” ในขณะที่เสี่ยวเอ้อกำลังแนะนำต้วนหลิงเทียนว่าราคามันแพงไปสำหรับการเข้าใช้คนเดียว ทว่ามันไม่ทันได้กล่าวจบคำดี ต้วนหลิงเทียนก็ขัดจังหวะโดยการโยนหินอมตะระดับต่ำกองหนึ่งไปวางไว้บนโต๊ะ “ที่เหลือให้เจ้าเป็นพิเศษ” “ขอบคุณมากขอรับท่านลูกค้าผู้มีเกียรติ!” เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะมีหินอมตะระดับต่ำกองอยู่ราวๆ 20-30 ชิ้น สองตาของบริกรหนุ่มก็ลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันที มือขวาพุ่งไปกวาดหินเซียนอมตะที่ต้วนหลิงเทียนให้มาเก็บไว้ว่องไว ค่อยผายมือเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม และมันก็ทำตามคำขอต้วนหลิงเทียน หาห้องส่วนตัวที่ค่อนข้างเงียบให้ “มิทราบท่านลูกค้าผู้มีเกียรติอยากรับอะไรเพิ่มดีขอรับ ทางเรามี…” หลังได้รับทิปจากต้วนหลิงเทียน บริกรก็แลดูมีอัธยาศัยดีขึ้นมาทันตาเห็น ไม่เพียงใบหน้าแย้มยิ้มอารมณ์ดี ยังเรียกหาต้วนหลิงเทียนอย่างสุภาพว่าท่านลูกค้าผู้มีเกียรติ ทีท่าไม่ขาดการประจบประแจง “เรื่องอาหารไม่รีบ…พอดีข้ามีอะไรอยากจะถามเจ้านิดหน่อย” สองตาต้วนหลิงเทียนกระพริบทอแสงวาบหนึ่ง เปิดประตูเห็นภูผาถามออกตรงๆ นี่เป็นอีกวิธีที่ใช้หาข่าวได้อย่างดี เหล่าเสี่ยวเอ้อในเหลาอาหารนั้น จะขึ้นเหนือล่องใต้หรือลี้ลับเพียงใด รู้หมด! แม้ไม่ทราบว่าไฉนผู้ประกอบวิชาชีพนี้ถึงได้รู้มากกว่าใครเขา แต่ข้อมูลที่ได้จากปากเสี่ยวเอ้อ คือเรื่องที่ทันเหตุการณ์เป็นที่สุดแน่นอน…ต้วนหลิงเทียนจึงคิดจะขุดเรื่องที่เขาอยากรู้ออกมาจากมันให้หมด “มิทราบท่านลูกค้าผู้มีเกียรติต้องการทราบสิ่งใดขอรับ” เสี่ยวเอ้อกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม “หากข้ามองไม่ผิด…เจ้าสมควรเป็นชนพื้นเมืองของหลิงหลัวเทียนใช่หรือไม่?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม เขาพบได้แต่แรกว่าเสี่ยวเอ้อผู้นี้ยังมีพลังฝึกปรือไม่ถึงขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์ด้วยซ้ำ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงประการเดียว เสี่ยวเอ้อเป็นชนพื้นเมืองของหลิงหลัวเทียน ตอนที่ยังอยู่ในระนาบเหยียนหวง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบเรื่องราวจากเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ของวังเซียนหยวนอย่างเซียนหยวนจื่อมาบ้าง ว่าบนสวรรค์ก็มีชนพื้นเมืองเช่นกัน และชนพื้นเมืองของสวรรค์ก็คือลูกหลานของครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ขึ้นไปยังแดนสวรรค์จนกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ระดับพลังฝึกปรือของชนพื้นเมือง จึงไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นเซียนอมตะสวรรค์กันหมด อีกทั้งทุกคนยังไม่ต้องพบกับเหตุการณ์ขึ้นสู่แดนสวรรค์ด้วยซ้ำ เพราะทั้งหมดอยู่บนแดนสวรรค์ตั้งแต่เกิด นอกจากนี้ด้วยการถือกำเนิดในแดนสวรรค์ ระดับพลังฝึกปรือยังก้าวหน้ารวดเร็วมาก เหนือกว่าระนาบโลกียะลิบลับ สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของแดนสวรรค์มันดีกว่าในระนาบโลกียะ พลังวิญญาณฟ้าดินของแดนสวรรค์หน้าแน่นบริบูรณ์สุดที่แดนล่างจะเทียบได้… นอกจากนี้ทรัพยากรบ่มเพาะทั้งหลายไม่ว่าจะโอสถสมุนไพร ก็มีคุณภาพดีกว่าระนาบโลกียะลิบลับ เว้นเสียแต่จะเป็นตัวโง่งม หาไม่แล้วระดับพลังฝึกปรือในช่วงแรกๆ ไม่มีทางช้าแน่นอน “ใช่แล้วท่าน” เสี่ยวเอ้อพยักหน้ายอมรับ “พอดีข้าอยากรู้ว่า…สถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดในเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้ มันอยู่ที่ไหน?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม ตอนนี้เขาคิดจะยกระดับพลังบ่มเพาะให้ก้าวหน้าเร็วที่สุด เขาจึงหวังว่าจะได้เข้าใช้สถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดเพื่อฝึกปรือ สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะ ย่อมส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะพลังอย่างยิ่งยวด แน่นอนว่าเขายังรู้ดี ว่าอาศัยพลังฝีมือของเขาตอนนี้ หากอยู่ในละแวกใกลเคียงกับตัวเมืองก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าออกห่างจากเมืองเมื่อไหร่ ก็ยากระบุแล้วว่าจะฝ่าภยันตรายได้หรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้วบนแดนสวรรค์แห่งนี้ ยอดฝีมือที่ร้ายกาจกว่าเขามีมากยิ่งกว่าเมฆเกลื่อนฟ้า หากเขาคิดออกไปท่องหล้าตอนนี้ ก็ไม่ต่างปลาหลีตัวจ้อยคิดตะลุยห้วงสมุทรสุดไพศาล เรียกว่าอาศัยพลังฝีมือของเขาเท่าที่มี คิดออกไปฝึกฝนห่างเมือง ก็ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันใหญ่หลวง หากเป็นเมื่อก่อน ความเสี่ยงเช่นนี้เขาก็ไม่ถือว่าเป็นอะไร แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงอย่างไร้ความจำเป็นเช่นนั้น ตอนนี้เขามีห่วงมากมายเหลือเกิน หากตกตายไปก็ไม่ใช่แค่ชีวิตของเขาคนเดียวเท่านั้น แต่ยังหมายถึงชีวิตลูกเมีย ครอบครัวและสหายของเขาที่จะต้องจบสิ้นไปด้วย… “ลองท่านลูกค้าผู้มีเกียรติกล่าวถามออกมาเช่นนี้ ท่านคงมิได้เป็นคนพื้นที่เมืองเฉวี่ยโยวใช่หรือไม่ขอรับ…ในละแวกเมืองเฉวี่ยโยวของเราสถานที่ๆมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดย่อมเป็นสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของท่านเจ้าเมืองอย่างมิต้องสงสัยเลย เพราะที่นั่นมีมหาค่ายกลรวมพลังวิญญาณฟ้าดินจากใจกลางสายแร่หินอมตะ 2 สายของเมืองเฉวี่ยโยวเรา…กล่าวได้ว่าความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินที่นั่นมัน…น่ากลัว!” เสี่ยวเอ้อกล่าวตอบออกมาฉะฉาน “ลำดับที่สองเห็นทีจะเป็นสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินและมังกรดำ…เพราะกระโจมของผู้บัญชาการทั้ง 2 ก็อยู่ใกล้เคียงกับสายแร่หินอมตะทั้ง 2 ของเมืองเฉวี่ยโยวเรานั่นเอง พอควบคู่ไปกับค่ายกลรวมพลังวิญญาณฟ้าดิน ทำให้มีพลังวิญญาณฟ้าดินหนานแน่นมากเช่นกันขอรับ” “ถัดมาจากนั้นเห็นทีจะเป็นสถานที่บ่มเพาะของ ‘องครักษ์งูทอง’ ของจวนเจ้าเมือง ซึ่งมันก็ตั้งอยู่ใกล้ๆกับสถานที่บ่มเพาะของท่านเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวของพวกเรา” ขณะที่เสี่ยวเอ้อกล่าวถึง องครักษ์งูทองนั้น แววตาท่าทางของมันฉายให้เห็นถึงความยำเกรงไม่น้อย ราวกับตัวตนขององครักษ์งูทองเป็นอะไรที่น่ากลัวสำหรับมันอย่างมาก “องครักษ์งูทองที่เจ้าว่าคืออะไรหรือ?” ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “องค์รักษ์งูทองที่ข้าน้อยกล่าวถึงก็คือองครักษ์พิทักษ์ท่านเจ้าเมืองขอรับ ปกติจักมีหน้าที่ในการคุ้มกันท่านเจ้าเมืองกับครอบครัวของท่านเจ้าเมือง…ต่างจากกองทัพมังกรเงินและมังกรดำที่มีหน้าที่ป้องกันเมืองและมีนับหมื่นๆคน องครักษ์งูทองนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 100 คนเท่านั้น ทว่าแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมืออันร้ายกาจอย่างยิ่ง!” เสี่ยวเอ้อกล่าวออกมาด้วยยน้ำเสียงเคร่งขรึท “กล่าวกันว่า ต่อให้เป็นองครักษ์งูทองที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดในบรรดาเหล่าองครักษ์งูทองก็ยังเป็นถึงตัวตนขอบเขตพลังจินเซียน!” “คนที่อ่อนแอที่สุด…ยังบรรลุขอบเขตจินเซียนงั้นเหรอ?” ได้ยิวาจาดังกล่าวของเสี่ยวเอ้อ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ต้องทราบด้วยว่าขนาดคนของกองทัพมังกรเงินที่เขาเคยเจอและมียศไป่ฟูฉางนั้น ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตจินเซียนด้วยซ้ำ… แต่ตอนนี้เสี่ยวเอ้อของเหลาอาหารบอกเขาว่า… ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาองครักษ์งูทองของจวนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวก็คือตัวตนขอบเขตจินเซียน? “หมายความว่า…แม้แต่ไป่ฟูฉางของกองทัพมังกรเงินกับกองทัพมังกรดำ พลังฝีมือก็ยังสู้องครักษ์งูทองที่อ่อนแอที่สุดไม่ได้ และไม่มีสิทธิ์เข้าเป็นองครักษ์งูทอง?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม “นั่นเป็นเรื่องธรรมดาขอรับ” เสี่ยวเอ้อกล่าวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ ด้วยพลังฝึกปรือของเหล่าไป่ฟูฉางจะไม่มีสิทธิ์เป็นองครักษ์งูทอง…ต่อให้พลังฝีมือถึงเกณฑ์ ก็ใช่ว่าจะสมัครเป็นองครักษ์งูทองได้ตามที่ต้องการ” “ว่ากันว่าหากคิดเป็นองครักษ์งูทองนั้น ไม่เพียงแต่พลังฝีมือต้องถึงขั้น แต่ยังมีเงื่อนไขยากเย็นอื่นๆอีกมากมาย และหากไม่สามารถผ่านเงื่อนไขยากเย็นทั้งหลายได้ แม้พลังฝีมือจะเหนือกว่าเกณฑ์ก็ไม่อาจเป็นองครักษ์งูทองได้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อกล่าวสืบต่อ ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า มาตอนนี้เขาก็ได้รับทราบจากเสี่ยวเอ้อแล้วว่าสถานที่บ่มเพาะในเมืองเฉวี่ยโยวที่ไหนดีที่สุด เป็นสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวอันเงียบสงบของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว อย่างไรก็ตาเขารู้ดีว่า ตอนนี้คิดไปบ่มเพาะพลังที่นั่นก็คงทำได้แค่ในฝัน… เว้นเสียแต่พลังฝีมือเขาจะสูงถึงขั้นเอาชนะเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวได้ หาไม่แล้วคิดเข้าไปใช้สถานที่บ่มเพาะนั่นก็ไม่ต่างอะไรจากคิดแย่งเนื้อจากปากเสือ… นอกจากสถานที่บ่มเพาะของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวแล้ว ‘ดูเหมือนว่าจะลำบากไม่น้อย…’ ต้วนหลิงเทียนได้แต่ยิ้มให้ตัวเองอย่างขมขื่น “นอกเหนือจากสถานที่บ่มเพาะทั้ง 3 แห่งที่ข้ากล่าวถึงแล้ว พื้นที่ในละแวกใกล้เคียงกับจวนเจ้าเมือง และพื้นที่ในละแวกใกล้เคียงกับกระโจมผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินและมังกรดำ ก็จักมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุด” เสี่ยวเอ้อกล่าวเสริม หลังกล่าวจบคำ ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้พูดอะไร เสี่ยวเอ้อก็หันไปมองประตูทางออกห้องส่วนตัว กล่าวขึ้นว่า “ท่านลูกค้าผู้มีเกียรติขอรับหากท่านมิมีใดแล้วข้าน้อยขอออกไปก่อน…เพราะหากข้าน้อยยังไม่ออกไปตอนนี้ ไม่พ้นเถ้าแก่ต้องไม่พอใจข้าน้อยที่หายหน้าไปนานเป็นแน่ สุดท้ายมิแคล้วข้าน้อยคงต้องถูกหักเงินเดือน” “ไม่ต้องรีบ ข้ายังมีอีกหลายคำถาม” เมื่อเสี่ยวเอ้อเผยทีท่าคิดจากไป ต้วนหลิงเทียนก็โยนหินอมตะก้อนหนึ่งขึ้นลงในมือเบาๆราวชั่งน้ำหนัก “หินอมตะระดับกลาง!” และพอต้วนหลิงเทียนโยนหินอมตะดังกล่าวออกมา เสี่ยวเอ้อก็พุ่งสองมือออกไปคว้าหมับเร็วไว ใบหน้ายังเผยอาการตื่นเต้นเร่าร้อนไม่น้อย ต้องทราบด้วยว่าแม้มันจะทำงานตลอดทั้งเดือน แต่ทางเหลาก็จ่ายค่าจ้างให้มันแค่ 30 หินอมตะระดับต่ำเท่านั้น และหินอมตะระดับกลางก้อนนี้ก็มีคุณค่าเทียบได้กับหินอมตะระดับต่ำ 100 ก้อน ซึ่งมากกว่าค่าจ้าง 3 เดือนของมันเสียอีก! “หินอมตะระดับกลางนี่…เอาไปแลกเป็นหินอมตะระดับต่ำได้เท่าไหร่?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม สิ่งที่เขาโยนออกไปนั้นมันเป็นหินอมตะที่เป็นกองเล็กๆมีไม่มากในแหวนพื้นที่ และเขาก็คาดเดาได้จากระดับสีอยู่บ้าง ว่ามันน่าจะเป็นหินอมตะระดับกลาง “หนึ่งร้อยก้อนขอรับ” เสี่ยวเอ้อกล่าวตอบออกไปอย่างไม่ทันคิด ทว่าหลังตอบจบคำ มันก็คล้ายเอะใจอะไรขึ้นมา จึงหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแปลกๆทันที เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องที่หินอมตะระดับกลางมีค่าเทียบได้กับหินอมตะระดับต่ำ 100 ก้อนนั้น แทบจะเป็นความรู้พื้นฐานของหลิงหลัวเทียน…ไม่สิ! มันเป็นความรู้พื้นฐานของทั้งเก้าเก้า 81 ระนาบเทวโลกเลยมากกว่า!! แต่ไฉนชายตรงหน้ากลับไม่รู้ได้เล่า? ‘บางที…ลูกค้าท่านนี้เพียงจงใจถาม เพื่อให้ข้าตระหนัก?’ ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็เริ่มสันนิษฐานไปในทิศทางดังกล่าว แต่พอต้วนหลิงเทียนยิงคำถามพื้นฐานที่ใครๆก็รู้ออกมามากเข้า เสี่ยวเอ้อก็บังเกิดอาการงงงวยไม่น้อย แต่มันก็ยังตอบทุกคำถามอย่างให้ความร่วมมือ ‘ลูกค้าท่านนี้…ไฉนทำราวกับเป็นผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาเลยเล่า?’ แน่นอนว่าทันทีที่บังเกิดความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมาในหัว เสี่ยวเอ้อก็ปัดตกไปทันที เพราะมันคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ผู้ที่พึ่งทะยานขึ้นสรรค์มาจะไปโผล่ที่สระกำเนิดเซียนอมตะ และถูกคนของกองทัพมังกรเงินหรือมังกรดำพาตัวไปค่ายทหารทันทีด้วยซ้ำ… ต่อให้จะไม่ถูกจับไปค่ายทหาร แต่ก็ไม่มีทางจะมีหินเซียนอมตะไว้จับจ่ายมือเติบแบบนี้! กระทั่งผู้ที่พึ่งทะยานขึ้นมาเป็นจินเซียนในแดนสวรรค์ ก็ยังไม่มีทางจ่ายหินอมตะระดับกลางออกมาได้เลย! สุดท้ายเสี่ยวเอ้อก็ฟันธงไปอย่างมั่นใจ ว่านี่คือลูกค้าที่มีนิสัยประหลาด! และที่ชวนคุยเรื่องพื้นฐานแบบนี้ก็เพราะเหงาอยากมีเพื่อนคุยด้วยเท่านั้น…
คอมเม้นต์