War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2289
ตอนที่ 2,289 : ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่าน! วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน เดือนแล้วเดือนเล่าได้ล่วงเลยผ่านไปราวกับสายน้ำ.. คลื่นลมภายในวังเซียนสัญจรนั้นยังคงสงบนัก อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่นำโดย จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ที่มาลอยร่างเฝ้ารอเหนือน่านฟ้านอกคฤหาสน์ของรองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่อย่างต้วนหลิงเทียนนั้น รู้ดีแก่ใจ ว่าความสงบเบื้องหน้านั้น ไม่ต่างใดจากความสงบก่อนพายุจะเข้า! ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ต้วนหลิงเทียนอาศัยอยู่ ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่กลายเป็นสัตว์ติดบ่วง กระทั่งเค่อเอ๋อกับลูกสาว ก่านหรูเยี่ยน และเผิงไหล ก็เสมือนสัตว์ติดบ่วงเช่นกัน! ตอนนี้ทุกคนรับรู้ชะตากรรมของตัวเองดีจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก ว่าพวกมันไม่พ้นต้องพบชะตาตายตก! ในตอนแรกทั้งหลายก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวลนัก… หากแต่เมื่อเวลาผันผ่านไป ทุกคนก็ตระหนักได้ชัดเจนว่า 4 ทิศ 8 ทางล้วนมืดบอดไร้หนทาง จึงได้แต่ทำใจยอมรับชะตากรรม… “รอให้จ้าววังอวี่เหวินนั่นออกจากการปิดด่านเมื่อใด…เรื่องบัดซบนี่ก็จักจบๆกันไปเสียที” ก่านหรูเยี่ยนกล่าวสบถพลางระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองถามเค่อเอ๋อ “เค่อเอ๋อ เจ้านึกเสียใจบ้างหรือไม่?” “เสียใจ? ท่านหมายถึงอะไรหรือพี่หญิง?” เค่อเอ๋อย้อนถามด้วยสงสัย “ข้าจะถามเจ้าว่า เจ้าเสียใจหรือไม่ที่รู้จักมัน เพราะหากเจ้าไม่รู้จักมันแต่แรก ชีวิตของเจ้าก็คงไม่ต้องเผชิญเรื่องราวทุกข์ยากจนต้องตกระกำลำบากอะไรมากมาย สุดท้ายก็ไม่ต้องมานั่งรอวันตายแบบนี้” ก่านหรูเยี่ยนกล่าวเสริม “ไม่” แทบจะทันทีที่เสียงถามไถ่ของก่านหรูเยี่ยนจบลง เค่อเอ๋อก็ส่ายหัวกล่าวปฏิเสธออกมาอย่างแน่วแน่ รอยยิ้มยังคลี่กางบนใบหน้างามหมดจดของนางอย่างสดใสแช่มชื่น “การได้รู้จักพี่เทียนคือเรื่องที่ดีและมีความสุขที่สุดในชีวิตของข้า…” “สำหรับข้าแล้ว การได้พบกับพีเทียนเป็นดั่งของขวัญที่สวรรค์ประทานให้!” “ใจข้าเป็นสุขทั้งยินดีนักที่ได้รู้จักกับพี่เทียน กระทั่งได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันกับพี่เทียนหลายปี…ตอนนี้ต่อให้ข้าต้องตายตกลง ข้าก็ไม่มีอันใดให้เสียใจแล้ว” เค่อเอ๋อกล่าววาจาออกมาเผยความในใจ และเมื่อฟังจากน้ำเสียงทีท่ายิ้มแย้มแจ่มใสยามกล่าวคำของนาง ก็เผยให้เห็นชัดถึงเรื่องราวประการหนึ่ง นางกล่าวออกมาจากใจจริง! ถึงแม้จะมีเดาไว้แล้วว่าไม่พ้นเค่อเอ๋อต้องกล่าวออกมาทำนองนี้ แต่ก่านหรูเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านในใจเมื่อได้ยินวาจาจากใจจริงของเค่อเอ๋อ บุรุษน่าตายนั่นมันดีขนาดนี้เลยเหรอ? ต่อมาแววตาของก่านหรูเยี่ยนก็กลายเป็นซับซ้อนคล้ายมีเมฆหมอกบดบัง ไม่ทราบว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่… “ท่านแม่ ท่านป้า! นกไฟนั่นขยับ มันขยับแล้ว!!” ทันใดนั้นเสียงเจื้อยแจ้วหนึ่งพลันดังขึ้น เป็นต้วนซือหลิงที่ชีมือชี้ไม้ไปยัง ‘อีกาทองคำ 3 ขา’ ด้วยท่าทางตื่นเต้นประหลาดใจ “นี่มัน…” เผิงไหลที่ไม่ทราบมาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ตอนนี้สายตามันก็มองจ้องไปยังวิหกเพลิงเบื้องหน้าไกลๆด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทั้งประหลาดใจไม่น้อย เค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนก็หันไปมองจ้องยังเรื่องราวทันที ห่างออกไปไกลๆนั้น เป็นอดีตห้องหับของต้วนหลิงเทียนที่ใช้ปิดด่านบ่มเพาะ หากทว่ามันได้พังทลายลงไปเพราะวิหกเพลิงตัวเขื่องประหนึ่งเนินเขาย่อมๆ และวิหกเพลิงตัวเขื่องนั่นแต่เดิมมันก็เอาแต่ยื่นตระหง่านแน่นิ่งไม่ไหวติงปานรูปปั้น หากทว่าตอนนี้มันกลับสยายปีกเพลิงออกกว้าง ก่อนที่จะเริ่มกระพือปีก ทั้งยิ่งมายิ่งกระพือปีกถี่รัวขึ้นเรื่อยๆ! สองตาของมันยามนี้คล้ายดั่งจะมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาอย่างโชติช่วง เปล่งแสงสีทองส่องสว่างเจิดจ้า แม้ที่นี่หาได้มืดมิดอันใด แต่ลำแสงนั่นก็ช่างสว่างไสวนัก! พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ! …… ทันทีที่วิหกเพลิงตัวเขื่องเริ่มกระพือปีก คลื่นลมอันรุนแรงก็ซวัดกวาดออกมาทั่ววสารทิศ ซากปรักหักพังเริ่มปลิวกระเด็นวุ่นวาย ธุลีคลีคละคลุ้งประหนึ่งพายุทะเลทรายบังเกิดก็ไม่ปาน! “บิน…บินล่ะ! มันบินได้ด้วยท่านแม่!!” เสียงอุทานใสปานระฆังแก้วของต้วนซือหลิงดังขึ้นอีกครั้ง เป็นอีกาทองคำ 3 ขา ที่แต่เดิมแน่นิ่งปานปูนปั้น บัดนี้กลับเริ่มลอยล่องขึ้นมาจากพื้น เหินบินขึ้นไปบนอากาศ! ถึงแม้มันจะเหินบินขึ้นไปจากพื้นเพียง 10 หมี่ แต่ก็มากพอจะทำให้ทุกคนในที่นี้อัศจรรย์ใจ! เพราะสุดท้ายแล้ววิหกเพลิงตัวเขื่องนี่ก็ไม่มีลมหายใจ มันไร้ชีวิต!! “อ้าว…แล้วท่านพ่อล่ะ? ท่านพ่ออยู่ที่ใดแล้วเล่า!?” พอเห็นอีกาทองคำ 3 ขาบินขึ้นไป ต้วนซือหลิงเดิมทีคิดว่าจะได้เห็นบิดาที่ถูกนกเพลิงปกป้องเอาไว้ แต่นางกลับพบว่า… หลังจากที่วิหกเพลิงตัวเขื่องบินขึ้นไปลอยค้างอยู่กลางหาวแล้ว ท่ามกลางซากปรักหักพังของห้องหับกลับไร้เงาบิดาของนาง… ในซากปรักหักพังของห้องหับนอกจากผนังและกระเบื้องรองพื้นห้องทั้งหลังคาที่พังทลายลงไม่มีชิ้นดี ก็เหลือเพียงเตียงไม้ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่แต่เดิมต้วนหลิงเทียนเคยนั่งบ่มเพาะอยู่บนนั้น ทว่าบัดนี้กลับไร้เงาร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่สมควรนั่งอยู่ให้เห็น… “นายท่านอยู่ภายในตัวของวิหกเพลิงนั่น!” ต่างจากต้วนซือหลิง เค่อเอ๋อและก่านหรูเยี่ยน เผิงไหลสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายพลังของต้วนหลิงเทียนได้อย่างชัดเจน “อีกทั้ง…ยามนี้กลิ่นอายพลังจากร่างของนายท่าน มันกำลังทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ!” “ความรู้สึกนี่มัน…เสมือนว่านายท่านกำลังจะทะลวงด่านพลัง!” “แต่มิใช่ว่านายท่าน…เดิมทีก็เป็นเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนอยู่แล้วหรอกหรือ? นี่ก็มิได้ผ่านพ้นหายนะทัณฑ์สวรรค์อันใด แล้วไยพลังฝึกปรือของนายท่านยังสามารถเพิ่มพูนขึ้นมาได้อีกเล่า?” เผิงไหลได้แต่กล่าวพึมพำออกมาด้วยความสับสน มันไม่อาจเข้าใจเรื่องราวตรงหน้าได้จริงๆ… ว่าที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เห็นได้ชัดว่าเผิงไหลไม่ได้รู้เลยว่าก่อนหน้า นายท่านของมันอย่างต้วนหลิงเทียนนั้น ยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนเท่านั้น! มันคิดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแต่แรก!! เพราะจากพลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกให้มันเห็นก่อนหน้า คือพลังอำนาจของขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนชัดๆ! ถ้าหากนายท่านผู้นี้ของมันมิใช่เซียนสวรรค์ 9เปลี่ยน ไหนเลยจะสังหารอาวุโสหลินหย่วนที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนได้ง่ายดายใน 2 กระบวนท่าราวกับตัดหญ้าฆ่าไก่? เมื่ออีกาทองคำ 3 ขาที่ควบแน่นขึ้นมาจากพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนบินขึ้น ต้วนหลิงเทียนที่ถูกมันห่อหุ้มคลุมร่างอยู่ก็เหินลอยตามไปด้วยเช่นกัน “นั่นมันอะไร!?” หลายคนที่มาเฝ้ารอด้านนอกคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียนบนฟ้า ก็ย่อมสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวเช่นกัน “สิ่งนั้น ที่แท้มันคืออะไรกันแน่!?” จ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง ที่ให้ความสนใจกับจวนของต้วนหลิงเทียนมาตลอดเวลา มันย่อมพบเห็นว่าตอนนี้อีกาทองคำ 3 ขาเริ่มบินขึ้นมาบนอากาศแต่แรก คิ้วมันอดขมวดย่นเป็นปมไม่ได้ เพราะมันไม่ทราบจริงๆว่าสิ่งที่เห็นมันคืออะไรกันแน่! อย่างไรก็ตามมันสามารถมั่นใจได้ในสิ่งหนึ่ง… นั่นคือ นายน้อยตำหนักเมฆาคราม ที่มันอยากฆ่าให้ตาย…อยู่ภายในร่างของสิ่งนั้น! “กลิ่นอายพลังของมัน…เหมือนจะทวีความเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม! ตอนนี้กลิ่นอายที่มันแผ่ออกมา เทียบได้กับพลังของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!” พอได้ตระหนักได้ถึงเรื่องดังกล่าวอย่างคลุมเครือ ฉีหนานฟง รู้สึกงุนงงทั้งสับสนไม่น้อย เท่าที่มันรู้มา ไม่ใช่ว่าพลังฝึกปรือของนายน้อยตำหนักเมฆาครามผู้นี้ ก็บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนมาแต่ไหนแต่ไรหรือไง? “หรือมันสะกดพลังฝึกปรือของตัวเองเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่บ่มเพาะ?” ฉีหนานฟงได้แต่ลอบคาดเดาไปทำนองนี้ เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! … ในขณะที่เผิงไหลกำลังตกตะลึง และฉีหนานฟงกำลังลอบเดาเรื่องราวในใจ อีกฟากหนึ่งของวังเซียนสัญจร พลันบังเกิดเสียงอัสนีฟาดผ่าดังลั่นสนั่นก้องจนหูแทบหนวก! และทันทีที่เสียงอัสนีดังระเบิดลงมาจากฟ้าเบื้องบน ก็ทำให้ทุกผู้คนในวังเซียนสัญจรแตกตื่นกันใหญ่! “นิ…นี่มัน หายนะทัณฑ์สวรรค์ บททดสอบของครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!” จากภายในคฤหาสน์ที่จ้าววังเซียนสัญจรอาศัยอยู่ รองจ้าววังอย่างอวิ๋นฟู่เหย่ได้เหินร่างออกมาจากเขตที่พักของตัวเองขึ้นมาบนฟ้า มองจ้องไปยังความเปลี่ยนที่บังเกิดขึ้นบนฟ้าเบื้องบน สองตาของมันก็ลุกวาวฉายแสงจ้าด้วยความปิติยินดี ใบหน้ายังฉายชัดถึงความตื่นเต้น! กระทั่งยังเป็นความตื่นเต้นที่ชำแรกแทรกซึมออกมาจากทุกอณูกาย!! การถือกำเนิดของเมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ นั่นหมายความว่าห้วงเวลาที่อาจารย์ของมันจะก้าวข้ามหายนะได้มาถึงแล้ว!! เมื่อก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ อาจารย์ของมันย่อมทะลวงถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!กลายเป็นตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะที่แท้จริง!! สำหรับเรื่องที่อาจารย์ของมันจะเอาชนะหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้หรือไม่นั้น มันไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจเลย! นั่นเพราะตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของจ้าววังเซียนสัญจร ผู้ที่ล้มเหลวในการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์นั้น…หามีไม่! “ไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์จะสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้ปรากฏล่วงหน้าจากที่คำนวณไว้ถึงหนึ่งเดือน…เช่นนั้นหมายความว่าอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ท่านอาจารย์ก็จักบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว!!” ยิ่งคิดมากเท่าไหร่อวิ๋นฟู่เหย่ยิ่งตื่นเต้นยินดี ในใจคึกคักอักโขปานลิงโลดนัก! เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ ก็เป็นกลุ่มเมฆที่ละม้ายคล้ายเมฆทะมึน หากแต่เป็นเมฆทะมึนห่าใหญ่ปานจะปิดฟ้า ท่ามกลางเมฆทะมึนสีมืดดั่งอนธการนั่น ปรากฏอัสนีสีม่วงแลบลั่นแปลบปลาบ มองไปประหนึ่งมังกรม่วงเลื้อยลดดำผุดดำว่ายไปทั่วเมฆหายนะ! สิ่งที่แตกต่างจากเมฆหายนะทั่วไปก็คือหากมองทะลุฝ่าความมืดมิดไป จักพบประกายแสงหลากสีสันซุกซ่อนอยู่! ราวกับมีเมฆหลากสีได้ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังเมฆหายนะทะมึนมืด! ยิ่งไปกว่านั้นเมฆหลากสีดังกล่าวยังส่องประกายเจิดจรัส! ให้ความรู้สึกสดใสผ่องอำไพถึงขีดสุด!! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! … ช่วงแรกที่เมฆหายนะเริ่มก่อตัว เสียงอัสนีผ่าลั่นฟ้าคำรามยังไม่ค่อยถี่สักเท่าไหร่ แต่ยิ่งนานเข้ายิ่งแลเห็นว่าเมฆดำคล้ายจะแห่แหนกันมาจากทุกทั่วสารทิศ! ยังเลื่อนคล้อยมาด้วยความเร็วผิดธรรมชาติ เตรียมมาบรรจบกันเหนือน่านฟ้าวังเซียนสัญจร!! “นั่นมัน….ทิศทางที่ตั้งคฤหาสน์ของท่านจ้าววังมิใช่หรือ!?” ภายในวังเซียนสัญจร ชนชั้นอาวุโสรวมถึงศิษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด บัดนี้ทั้งหมดละวางสิ่งที่กระทำ แห่กันออกมาจากเคหะสถาน แหงนคอมองจ้องไปยังเมฆทะมึนกลางหาวด้วยความแตกตื่น! พวกมันย่อมสามารถยืนยันได้ ว่าทิศทางที่มวลเมฆกำลังจักไปบรรจบกันนั้น ก็คือที่ตั้งของคฤหาสน์จ้าววังของพวกมัน!! “เมฆดำเหล่านี้กลับมีอัสนีม่วงแลบลั่นแปลบปลาบ อีกทั้งยามสายฟ้าฟาดผ่าแหวกเมฆดำออกมา เบื้องหลังยังคล้ายมีประกายแสงหลากสีสาดส่อง…นี่มัน มิใช่เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ของครึ่งก้าวเซียนอมตะหรือไร!?” เหล่าชนชั้นอาวุโสของวังเซียนสัญจรคล้ายจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ลูกตาของพวกมันหดหยีลงทันใด จากนั้นก็อดส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความแตกตื่นไม่ได้! “เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ ของครึ่งก้าวเซียนอมตะ!?” ทันใดนั้นสายตาของเหล่าอาวุโสและเหล่าศิษย์วังเซียนสัญจรก็ลุกวาวสว่างวาบ! เมฆหายนะทัณฑ์สวรรค์ทั้งหลายกำลังเคลื่อนมาจากทุกทั่วสารทิศและไปบรรจบเหนือน่านฟ้าคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจรของพวกมัน! เรื่องนี้หมายความว่าอะไรพวกมันทั้งหมดล้วนทราบดีอย่างที่ไม่ต้องคาดเดาให้วุ่นวาย!! “นิ…นี่…ท่านจ้าววังของพวกเรา กำลังจักกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วหรือ!?” “ฮ่าๆๆๆ!! ดูเหมือนว่าวังเซียนสัญจรของพวกเรา กำลังจะอุบัติตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว!” “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเผ่าปีศาจมนุษย์ของพวกเรา จักมีตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะเป็นคนที่ 2! อีกทั้งตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะคนใหม่ ยังเป็นท่านจ้าววังเซียนสัญจรของพวกเราเอง!!” … ทุกทั่วหัวระแหงของวังเซียนสัญจร ไม่ว่าจะระดับสูงหรือระดับต่ำล้วนคึกคักกันปานเลือดเดือดพล่านแต่ละคนแลดูตื่นเต้นยินดีนัก! ในเวลาเดียวกันทางด้านคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียน จ้าววังวิญญาณอสุรา รวมถึงคนของ 2 วัง 6ตำหนักทั้งหลาย ก็ต่างหันมองไปยังทิศทางที่ตั้งคฤหาสน์จ้าววังเซียนสัญจรไม่วางตา นอกจากนั้นยังเป็นทิศทางที่เมฆหายนะจากทุกสารทิศกำลังเคลื่อนมาบรรจบกัน! ทำให้พวกมันไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่า… คฤหาสน์เบื้องล่างของพวกมันยามนี้ อีกาทองคำ 3ขา ที่ควบแน่นขึ้นมาจากเปลวเพลิงสีทอง ที่เดิมกำลังลอยล่องอยู่กลางอากาศนั้น ได้หดหายหลอมรวมเข้าสู่ร่างชายหนุ่มชุดม่วงอย่างสมบูรณ์! ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ ก็คือผู้ที่ถูกวิหกเพลิงหรือ อีกาทองคำ 3 ขาปกคลุมซ่อนร่างเอาไว้ก่อนหน้า… “ท่านพ่อ!!” พร้อมกันกับที่เสียงเรียกหาด้วยความตื่นเต้นของต้วนซือหลิงดังขึ้น ร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่นั่งขัดสมาธิกลางหาวก็ลืมตาตื่นขึ้นมา! ต้วนหลิงเทียนได้ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะอย่างเป็นทางการแล้ว…
คอมเม้นต์