War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2254

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2254 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 2,254 : เผ่าปีศาจหมู!
 
‘ตอนแรกคิดว่าหากใช้ปฐมเวทย์กลืนกินแล้วจะทะลวงผ่านจุดรอคอยของพลังได้เสียอีก…แต่ไม่คิดเลยว่าถึงใช้ปฐมเวทย์กลืนกินแล้วแต่ก็ไม่อาจทะลวงจุดรอคอยของพลังไปได้!’
 
หลังยิ้มออกด้วยความขื่นขม ต้วนหลิงเทียนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
 
การมีอยู่ของจุดรอคอย หมายความว่าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาถึงแม้จะใช้ปฐมเวทย์กลืนกินก็ตาม…แต่ยังทำได้เพียงทัดเทียมกับพลังสูงสุดของขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเท่านั้น มันเป็นขีดจำกัดของเขาในตอนนี้!
 
เป็นขีดจำกัดพลังสูงสุดเท่าที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนจะบรรลุถึงได้!
 
หากคิดบรรลุระดับพลังที่เหนือกว่านี้ ก็มีแต่ต้องผ่านพ้นหายนะทัณฑ์สวรรค์ บรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะให้ได้เสียก่อน ถึงจะทลายจุดรอคอย บรรลุถึงพลังที่เหนือกว่าเดิม!
 
‘จากที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกไว้…เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ไปได้ ไม่เพียงจุดรอคอยของพลังจะคลี่คลาย แต่ในร่างยังจะเริ่มกำเนิด พลังเซียนอมตะ! ถึงตอนนั้นแม้พลังเซียนต้นกำเนิดจะยังคงมีอยู่เท่าเดิม แต่ด้วยการกำเนิดของพลังเซียนอมตะเพิ่มขึ้นมา ก็จะทำให้พลังรบแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ติด…’
 
‘ผู้เฒ่าหั่วบอกไว้…การจะกำเนิดพลังเซียนอมตะขึ้นในร่างได้ ก็มีแต่ต้องก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์เสียก่อนเท่านั้น’
 
คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกรอบ ‘ถ้างั้นหมายความว่า ต่อให้ข้าจะบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน กระทั่งเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนก็ตามที แต่ข้าก็ไม่อาจใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเพิ่มพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้สูงกว่าระดับนี้ได้อีกแล้ว…’
 
‘กระทั่งเมื่อทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน จะใช้หรือไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ก็คงมีผลลัพธ์เท่าๆกัน’
 
‘และถึงจะฝืนใช้ปฐมเวทย์กลืนกินไป ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร…ไม่อาจเพิ่มพลังได้อีก’
 
แน่นอนว่าพลังของปฐมเวทย์กลืนกินนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นไร้ประโยชน์ทันทีหากต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว
 
แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
 
เพราะสุดทายแล้วปฐมเวทย์กลืนกินไม่ได้มีไว้เพิ่มพลังเซียนต้นกำเนิดในร่างต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ยังมีการใช้งานอื่นๆอีกด้วย
 
อย่างเช่นใช้มันกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณให้ผู้อื่น!
 
‘อย่างไรก็ตามหากข้าทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยน กระทั่งข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์จนกลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะได้เมื่อไหร่ เมื่อข้าใช้ปฐมเวทย์กลืนกินตอนนั้นย่อมเห็นผลเลิศล้ำนัก เพราะอย่างไรตอนนั้นก็ไม่ได้มีเพียงพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดอย่างเดียวแต่ยังมีพลังเซียนอมตะ!!’
 
‘พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดอาจบรรลุถึงขีดจำกัดเท่าที่จะมีได้แล้วก็จริง แต่พลังเซียนอมตะนั้นไม่ถูกจำกัดในระนาบโลกียะแห่งนี้ มันยังสามารถเพิ่มพูนได้!’
 
คิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายจ้า
 
‘ตอนนี้ข้าต้องรีบทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนให้เร็วที่สุด กระทั่งต้องพยายามบรรลุให้ถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะให้ได้!’
 
‘ทันทีที่ข้าข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์จนบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้ ปฐมเวทย์กลืนกินจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะยกระดับพลังเซียนอมตะในร่างข้าให้เหนือล้ำกว่าผู้อื่น!’
 
พอนึกได้แบบนี้ ความผิดหวังก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนก็มลายหายไป
 
ถึงแม้จะยังมีผิดหวังอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องสุดวิสัยที่เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลง
 
‘ที่ข้าทำได้ตอนนี้คือพยายามทำความเข้าใจเวทย์พลังอื่นๆเพื่อยกระดับความแข็งแกร่ง…มีแค่แบบนี้เท่านั้นถึงจะยกระดับความแข็งแกร่งโดยรวมของข้าได้ในตอนนี้’
 
‘จากนั้นก็เร่งบ่มเพาะพลังให้บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9เปลี่ยนให้เร็วที่สุด ตอนนี้ก่อนข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์…พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของข้าก็จะมีขีดจำกัดเท่านี้’
 
หลังครุ่นคิดในใจจบ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ส่องสว่างเผยประกายแน่วแน่
 
‘ในอดีตข้าอาศัยความช่วยเหลือจากปฐมเวทย์กลืนกินเป็นหลัก…ยังอาศัยมันมากจนไม่มีเวลายกระดับทักษะอื่นๆ’
 
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ยิ้มให้ตัวเองอย่างขื่นขม
 
ไม่ว่าจะเวทย์พลังป้องกันปรากการเต่าทมิฬ หรือเวทย์พลังจู่โจมอย่างเซียนอมตะข้ามภพ กระทั่งเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่ ก็ถูกเขาพักไว้ก่อนชั่วคราว
 
จุดนี้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเห็นความสำคัญ จนเมื่อพบว่าความช่วยเหลือจากปฐมเวทย์กลืนกินได้น้อยลงเรื่อยๆ
 
‘แต่ถึงแม้พลังสูงสุดของข้าจะยังไม่เปลี่ยนไปจากขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน แต่ด้วยพลังของข้าตอนนี้คิดไปวังเซียนสัญจร 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์ ก็ยังไม่ต้องกลัวใครนอกจากจ้าววังเซียนสัญจร!’
 
‘บางที…ข้าอาจไปวังเซียนสัญจรเพื่อรับตำแหน่งรองจ้าววังก่อนก็ดี’
 
ต้วนหลิงเทียนยังไม่ลืมแผนก่อนหน้า
 
นึกถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดรั้งอยู่ในทะเลทรายรกร้างสืบไป เร่งเหินร่างกลับเมืองเหรินโม่เชิ่งทันที
 
จากมาไม่ทันถึงครึ่งชั่วยาม ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็กลับมาถึงเมืองเหรินโม่เชิ่ง กระทั่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่พักอันเป็นกิจการภายใต้อำนาจวังอัคคีสีชาดเรียบร้อย
 
หลังกลับมาถึงโรงเตี๊ยมที่พักแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คิดพาเค่อเอ๋อซือหลิงกับก่านหรูเยี่ยนไปยังวังเซียนสัญจร ซึ่งเป็น 1 ใน 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์ทันที
 
“พี่เทียน พี่หญิงยังปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่”
 
แต่พอมาถึงต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบเรื่องราวจากเค่อเอ๋อว่า…
 
ก่านหรูเยี่ยนยังคงปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่ นางยังไม่ออกจากการปิดด่านแต่อย่างใด!
 
“เช่นนั้นก็รอนางก่อน…”
 
ระหว่างรอก่านหรูเยี่ยน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดใช้เวลาอย่างสูญเปล่า เขาเลือกรักษาสัญญากับต้วนซือหลิงก่อน และถ่ายทอดเคล็ดบ่มเพาะพลังทั้งสั่งสอนวรยุทธ์นางด้วยตัวเอง
 
ในระหว่างกระบวนการดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ได้ตระหนักถึงความน่าพรั่นพรึงของพรสวรรค์รากวิญญาณสีดำ!
 
เมื่อเห็นด่านพลังฝึกปรือของลูกสาวตัวน้อยพุ่งกระฉูดยิ่งกว่าจรวดในโลกเก่า ต้วนหลิงเทียนก็อดลอบตื่นตระหนกในใจไม่ได้ ‘บะ…บ้าไปแล้ว! นี่มันจะไม่เหลือเชื่อไปหน่อยรึไง? ตอนเด็กข้าใช้เวลาไปตั้งกี่ปี แต่นาง…เฮ่อ..’
 
เมื่อต้วนซือหลิงกำลังสนุกสนานทั้งติดใจกับการบ่มเพาะฝึกฝน นางก็ไม่ได้ทำตัวติดกับต้วนหลิงเทียนแจอีกต่อไป ทำให้ต้วนหลิงเทียนมีเวลาอยู่กับเค่อเอ๋อมากขึ้น
 
เช้าวันหนึ่งเขาก็กล่าวกับเค่อเอ๋อที่นอนซบอกว่า “เค่อเอ๋อ ตอนนี้ซือหลิงสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างไร้ปัญหา…พี่คิดออกไปดูดกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เป็นสีดำเสียหน่อย…”
 
“พี่เทียน ท่านต้องไปนานแค่ไหนหรือ…”
 
เค่อเอ๋อกล่าวออกมาเสียงสั่นทันที ในแววตายังฉายแววสะทกสะท้อน เห็นชัดว่านางไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนจากไปไหน ไม่อยากห่างกายเขาอีกต่อไปแล้ว
 
“ไม่นานหรอกเค่อเอ๋อ…ตอนนี้รากวิญญาณพี่ มันเป็นสีม่วงเข้มเจียนดำเต็มทีแล้ว กล่าวว่าห่างจากการเปลี่ยนเป็นสีดำครึ่งก้าวก็ไม่เกินเลย”
 
ต้วนหลิงเทียนกระชับเค่อเอ๋อเข้ามากกอดไว้แนบแน่น ลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน กล่าวออกเสียงเบา “พี่จะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด…หลังซือหลิงตื่นจากการบ่มเพาะ เจ้าก็บอกลูกด้วย”
 
“อื้อ”
 
เค่อเอ๋อพยักหน้ารับเบาๆ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจ “พี่เทียนนี่ก็ยังเช้าอยู่…ท่านจะออกไปเลยก็ได้”
 
“ก็ดี”
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบรับค่อยหอมหน้าผากนางฟอดหนึ่ง หลังจากนั้นก็ลุกออกจากเตียง เมื่อใส่เสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกจากห้องหับ กระทั่งออกกจากโรงเตี๊ยมที่พักและเมืองเหรินโม่เชิ่งอย่างไม่รอช้า
 
เมื่อออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่งแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที
 
ออกจากเมืองเหรินโม่เชิ่งคราวนี้ เขาไม่คิดเลือกเผ่าปีศาจมนุษย์เป็นเป้าหมายอีกต่อไป หากแต่เลือกจะจัดการกับเผ่าปีศาจเผ่าอื่น
 
ตอนที่อยู่ในเมืองเหรินโม่เชิ่ง ต้วนหลิงเทียนยังได้ข้อมูลมาว่า…
 
หลายแสนลี้จากเมืองเหรินโม่เชิ่งขึ้นไปทางทิศเหนือ มีพื้นที่ๆถูกเผ่าปีศาจสุกรยึดครองสร้างอาณาเขตเอาไว้ หลังพวกมันอพยพออกกมาจากแดนเนรเทศ
 
สถานที่แห่งนั้น แต่เดิมเคยเป็นของขุมพลังชั้น 4 ขุมหนึ่ง
 
เผ่าปีศาจสุกรนั้น มองไปทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว แม้พวกมันจะไม่ได้แข็งแกร่งทัดเทียมกับเผ่าปีศาจมนุษย์กับเผ่าปีศาจวัว แต่ก็ยังถือว่ามีพลังอำนาจรองลงมาเท่านั้น ยังค่อนข้างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจอื่นๆ
 
‘ก่อนหน้าในเหลาอาหารใหญ่กลางเมืองเหรินโม่เชิ่ง ข้าเคยได้ยินมาว่า เผ่าปีศาจสุกรนั่นมียอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอยู่ 3 ตน’
 
‘เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนทั้ง 3 ยังมาจาก 3 เผ่าย่อยของเผ่าปีศาจสุกรอันได้แก่ เผ่าปีศาจสุกรทมิฬ เผ่าสุกรสายฟ้า เผ่าสุกรสีชาด อีกทั้งพวกมันทั้ง 3 ยังเป็นผู้นำแต่ละเผ่าย่อยอีกด้วย’
 
ต้วนหลิงเทียนยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับเผ่าปีศาจสุกรไม่น้อย จากการรวบรวมข้อมูลต่างๆในเหลาอาหารของเมืองเหรินโม่เชิ่ง
 
‘เห็นว่า…พวกปีศาจสุกรนี้มีลักษณะไม่ต่างอะไรจาก ตือโป๊ยก่าย ในไซอิ๋วที่ข้าเคยรู้จักในโลกเก่า’
 
ในระหว่างครุ่นคิดเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อย ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างข้ามผ่านพื้นที่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ เหินเลยขุนเขาลำน้ำไปมากมาย
 
และในที่สุดก็เข้าสู่เขตพื้นที่ของเผ่าปีศาจสุกกรอย่างไม่ทันรู้ตัว…
 
“เฮ่ย! นั่นใช่ปีศาจมนุษย์ ที่มาจากเผ่าปีศาจมนุษย์หรือไม?”
 
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพบว่าตอนนี้สมควรเหินร่างเข้าเขตของเผ่าปีศาจสุกรแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากไกลๆ ทำให้เขาหันความสนใจไปยังต้นเสียงทันที
 
และขณะที่มองไปยังทิศทางต้นเสียง ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นร่าง 2 ร่างที่กำลังเหินเข้ามาใกล้
 
ทั้ง 2 ร่างนี้มีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์
 
หากแต่ศีรษะของมันกลับเป็นศีรษะสุกรแลดูใหญ่โต มองไปแทบไม่ต่างจากลักษณะของตือโป๊ยก่ายที่เขาได้รู้จักจากเรื่องราวที่เป็นตำนานอย่างไซอิ๋วจากชาติที่แล้วเลย…
 
หากจะบอกว่าพวกมันต่างกันจากตำนานที่เขาได้รู้มาตรงไหน…ก็บอกได้ว่าพวกมันไม่ได้อ้วนตุ๊ต๊ะ!
 
สองร่างที่ตัวเป็นคนหัวเป็นหมูนั้น หนึ่งแลดูกำยำแข็งแกร่ง ส่วนอีกหนึ่งผ่ายผอม
 
‘นี่น่ะเหรอปีศาจสุกร…ไม่เห็นมันจะอ้วนเป็นหมูเลย…’
 
แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง แต่จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องเดาก็ทราบความเป็นมาของพวกมัน
 
“เฮ่ย! ไอ้หนูเผ่าปีศาจมนุษย์! นี่เจ้าล้วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเผ่าปีศาจสุกรข้าแล้วยังไม่รู้ตัวหรือไร! สองตาเจ้ามีไว้ประดับรึ!?!”
 
เผ่าปีศาจสุกรร่างผอม เหินร่างตัดฟ้ามาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะชี้หน้ากล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้ายเอาเรื่อง
 
และทันทีที่มันเปิดปากกล่าวคำ ต้วนหลิงเทียนก็ต้องทำหน้ายี้ทันที เพราะกลิ่นปากของมันช่างร้ายกาจปานหมกศพหมาเน่าไว้หมื่นปี!
 
“ไสหัวไป!”
 
สองตาต้วนหลิงเทียนเย็นลงทันใด ตวาดคำขับไล่ออกมาเสียงแข็ง ทั้งยังโบกมือออกไปส่งๆราวกับจะปัดไล่กลิ่นปากเน่าเหม็นให้พ้นๆ! ปรากฏพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดมหาศาลขุมหนึ่งผนึกควบเป็นมวลพลังไร้สภาพอันเกรี้ยวกราด พุ่งทะยานออกไปฉับไว!!
 
พริบตาปีศาจสุกรที่พุ่งเข้ามาชี้หน้ากล่าวคำ ก็ถูกมวลพลังไร้สภาพดังกล่าวกลืนกิน ป่นร่างของมันแหลกเป็นผุยผง!
 
คงเหลือเพียงแหวนพื้นที่วงหนึ่งลอยล่องอยู่กลางอากาศเท่านั้น…
 
‘ฉิบหายมารดามัน! ไอ้หน้าละอ่อนนี่มันยอดฝีมือเผ่าปีศาจมนุษย์!’
 
สีหน้าปีศาจสุกรที่ร่างกายกำยำแข็งแกร่งกลับกลายเป็นซีดลงปานหมูต้มทันทีเมื่อเห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว! สองตาหมูๆของมันยังเบิกโพลงแทบถลน ร่างสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว…!!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด