War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2204
ตอนที่ 2,204 : ตัดสินกันใน 1 กระบวนท่าเถอะ! ถึงแม้ทุกคนจะเคยได้ยินกันมานานแล้วว่าต้วนหลิงเทียนเป็นนักรบมังกกร 9 กรงเล็บ แต่พวกมันก็ไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักกรบมังกร 9 กรงเล็บสู้กับใครด้วยตาตัวเองมาก่อน… ตอนนี้พอมาได้เห็นต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บต่อหน้าต่อตา จึงอดที่จะตกตะลึงกันไปไม่ได้ “นี่น่ะหรือ…นักรบมังกร 9 กรงเล็บในตำนาน!” อาวุโสเพลิงทองหลายคนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจกลัว “ว่ากันว่านักรบมังกร 9 กรงเล็บ จะมีความแข็งแกร่งทางกายภาพทัดเทียมกกับ มังกรเทพยดา 8 กรงเล็บ…มิว่าจะเป็นพลังป้องกันหรือพลังกายอันดุร้ายดิบเถื่อน ก็เหนือกว่าผู้คนทั่วไปหลายขุม…” “ดูเหมือนวว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมืออันร้ายกาจอย่างเหาฉ่วง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดออมพลังอันใด…ยังคิดจะลงมือเต็มกำลังแต่แรก!” “แต่ก็เท่านั้น…ยังมีโอกาสชนะหลงเหลืออยู่อีกหรือ?” “ข้าคิดว่าพอมี แต่โอกาสชนะที่มีคงริบหรี่เต็มที…จะอย่างไรเหาฉ่วงมันก็เป็นมือหนึ่งใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน แม้ผู้พิทักษ์หลิงเทียนจะแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ ก็ยังมิน่าจะเป็นคู่มือของเหาฉ่วงได้…” “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน…ครั้งนี้ปาฏิหาริย์อันใดคงไม่มีแล้ว” … ถึงแม้อาวุวโสเพลิงทองทั้งผู้พิทักษ์ทั้งหลาย จะได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นตัวสร้างปาฏิหาริย์ไร้พ่ายมาทุกครั้งของต้วนหลิงเทียน แต่คราวนี้พวกมันไม่กล้ามองโลกในแง่ดีแม้แต่น้อย เพราะเมื่อคิดถึงพลังฝีมืออันร้ายกาจที่ขึ้นชื่อลือชามานานนับร้อยปีของเหาฉ่วง ทั้งหมดก็ยากจะมองเห็นโอกาสใดๆ ในสายตามัน ผู้พิทักษ์หลิงเทียนที่พึ่งผงาดขึ้นมามีพลังสูงส่งไม่นาน คิดเอาชนะเหาฉ่วงก็ยากเย็นเสมือนปีนป่ายขึ้นสวรรค์! รองจ้าวลัทธิบูชาไฟทั้ง 2 รวมถึงผู้พิทักษ์อีก 4 คนของลัทธิบูชาไฟ ก็คิดไปทำนองนี้ไม่ต่างกัน “เหาฉ่วง” ทันใดนั้นเอง เหลิ่งอิงพลันหันไปมองกล่าวกับเหาฉ่วง กล่าวออกมาอีกครั้งว่า “เจ้าทบทวนให้ดี…วันนี้หากเจ้ากล้าลงมือทำร้ายผู้พิทักษ์หลิงเทียน เจ้าไม่เพียงแต่จะเพาะสร้างความแค้นกับพวกเราลัทธิบูชาไฟเท่านั้น แต่เจ้ายังสร้างความบาดหมางกับเผ่าพันธุ์มังกรอีกด้วย!” เผ่าพันธุ์มังกร!! เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ เหลิ่งอิงก็ฉุดคิดเรื่องราวฉับไวปานประกายไฟสว่างวาบ เร่งยกอ้าง เผ่าพันธุ์มังกร ออกมาสมทบขู่ข่มเหาฉ่วงทันที! “เฮอะ!” ทว่าหลังได้ยินวาจาข่มขู่นี้ของเหลิ่งอิง เหาฉ่วงไม่เพียงไม่กริ่งเกรง ยังแสยะยิ้มแค่นคำกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปรามาส “ข้ากระทั่งไม่กลัวลัทธิบูชาไฟของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าคิดจริงๆหรือว่ากับอีแค่เผ่าพันธุ์มังกรมันจะอยู่ในสายตาข้า?” เผ่าพันธุ์มังกรของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าในเวลานี้ จากข่าวที่ลือกันยังไม่มีแม้กระทั่งมังกรเทพยดา 8 กรงเล็บด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่าเป็นขุมพลังที่ตกอับไปแล้วก็ว่าได้… และเหาฉ่วงผู้เป็นผู้ฝึกตนอิสระ ก็ไม่คิดจะกริ่งเกรงเผ่าพันธุ์มังกรแม้แต่น้อย เหลิ่งอิงพอได้ยินมันก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป ยังรู้สึกจุกอกเบาๆ กลับกัน แม้เหาฉ่วงไม่กริ่งเกรง ทว่าสีหน้าคนลัทธิอารามทมิฬเริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมา เรียกว่าทันทีที่เห็นต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ พวกมันก็คำนึงถึงเผ่าพันธุ์มังกรขึ้นมาเป็นอย่างแรก ก็ใช่ เหาฉ่วงไม่ต้องกังวลอะไรเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ…เผ่าพันธุ์มังกรจะไปตามหาตัวมันเพื่อสะสางเรื่องราวที่ไหนได้… ทว่าลัทธิอารามทมิฬของพวกมันต่างกัน! พวกมันมีครอบครัว มิตรสหายรวมถึงเหล่าศิษย์อยู่ในลัทธิอารามทมิฬ หากมังกรเลือกจะเอาความแค้นมาลงกับคนใกล้ชิดพวกมันก็นับว่าย่ำแย่แล้ว! แต่พอคิดทบทวนให้ดีอีกครั้ง คิ้วที่ขมวดย่นของทุกคนก็ค่อยๆคลี่คลาย ด้วยนึกออกว่าพวกกมันมีเหตุผลกล่าวอ้างอันควรในการเดินทางมาหาความจากต้วนหลิงเทียนครั้งนี้… ที่พวกมันมา มิใช่กระทำไปเพราะสาเหตุเหลวไหลอื่นใด…แต่เป็นการทวงถามหนี้ชี้วิตของจ้าวราชสีห์ขนทองเซี่ยคังฉวินที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่า! พวกมันมีเหตุผลอันชอบธรรมในการลงมือครบถ้วน!! แต่เผ่าพันธุ์มังกรเล่า? หรือพวกมันคิดจะบาดหมางกับลัทธิอารามทมิฬ ด้วยเรื่องที่ไม่ยอมให้ลัทธิอารามทมิฬล้างหนี้เลือดเซี่ยคังฉวิน? “ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองนักนะ..” เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักกรบมังกร 9 กรงเล็บ ยามเหาฉ่วงมองมาที่เขาอีกครั้ง ลูกตามันก็หดหยี เผยประกายเยียบเย็นหนึ่ง ทั่วร่างยังปรากฏเจตนาฆ่าฟันเอ่อล้นขึ้นมาทันที “ข้า เหาฉ่วง อยากเห็นนัก…ว่าเจ้าต้วนหลิงเทียนไปเอาความมั่นใจมาแต่ที่ใด!” เหาฉ่วงแสยะยิ้มกล่าวเย้ย เจตนาฆ่าฟันของมันยิ่งมายิ่งมาก พลังเซียนต้นกำเนิดอันมหาศาลเริ่มปะทุออกมาทั่วร่าง! และเมื่อพลังของมันปะทุออกมา บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มปั่นป่วนทันที ความว่างเปล่าเริ่มสะท้านสะเทือนครืนๆ ฟู่วว! ฟู่วว! ฟู่วว! … คลื่นพลังอันป่วนปั่นที่ซัดสะท้านในอากาศ ก่อเกิดเป็นสายลมแรงพัดกรรโชกออกไปทั่วสารทิศ ขณะเดียวกัน ยังสังเกตเห็นได้ชัดเจน ว่าบัดนี้ร่างที่เคยผอมบางของเหาฉ่วง เริ่มปรากฏกล้ามเนื้อปูดโปนเป็นลูกๆ กลายเป็นแลดูแข็งแกร่งขึ้นมาถนัดตา! ผมขาวราวหิมะของมันยามนี้ปลิวสยายปานอสรพิษดุร้ายสีขาวเลื้อยลด คิ้วขาวของมันเลิกขึ้น ตอบรับกับใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง เผยให้เห็นอารมณ์ของมันตอนนี้ชัดเจน โมโห! มันเหาฉ่วงคือยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! รั้งอยู่ในอันดับ 5 ของรายนามยอดเซียน!! มันกล้าพูดได้เต็มปาก ว่าทั้งแดนดินตอนนี้ไม่มีใครที่อยู่ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่สามารถเป็นคู่มือให้มันได้ แต่ทว่าวันนี้ อาศัย ‘เด็กน้อยขนอุย’ ที่อายุยังไม่ทันถึง 50 ปีคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ทำตัวสบายๆไม่เห็นหัวมัน ยังกล้าลูบคมมันด้วยการไม่แยแสพลังฝีมือของมัน ยังหาญกล้าทำตัวโอหังเร่งเร้าพลังคิดสู้อย่างไม่ยำเกรงมัน! จะไม่ให้มันมีโมโหอย่างไรไหว!! “พี่เหาคิดลงมือจริงจังแล้ว…” เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังเซียนต้นกำเนิดที่แผ่ว่านออกจากร่างเหาฉ่วงว่ามันดุร้ายรุนแรงเพียงใด ลูกตาจ้าวลัทธิอารามทมิฬพลันทอประกายสว่างปานดารากลางฟ้ายามค่ำคืนทันที ‘หวังว่าเจ้าเหาฉ่วงนั่นจะไม่พลั้งมือฆ่าต้วนหลิงเทียนด้วยโทสะหรอกนะ…เพราะสุดท้ายแล้วพวกเรายังต้องพยายามเค้นความลับเรื่องความก้าวหน้าของมันในระนาบเทียม 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะอยู่อีก’ พญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาวลอบคิดในใจเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ผู้พิทักษ์หลิงเทียนแห่งลัทธิบูชาไฟหรือ? อัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหรือ? แล้วจะอย่างไร?! มันยังไม่อาจนับเป็นตัวอะไรต่อหน้าท่านเหาฉ่วง! กระทั่งจะรับท่านเหาฉ่วงสักท่า เผลอๆเกรงว่ายังไม่มีปัญญาด้วยซ้ำ!!” รองจ้าวลัทธิอารามทมิฬ 2 คนอดไม่ได้ที่จะเผยความคึกคักอักโขออกมาเมื่อเห็นว่าเหาฉ่วงกำลังจะลงมือ ต่างจากคนของลัทธิอารามทมิฬที่คึกคักอักโข ด้านลัทธิบูชาไฟนั้นบรรยากาศเปลี่ยนเป็นอึมครึมตึงเครียด พวกมันไม่มีใครเห็นดีในสถานการณ์เลย “ผู้พิทักษ์สื่อเฟิง พวกเราจะทำอย่างไรกันดี…ข้าไม่คิดว่าผู้พิทักษ์หลิงเทียนจะรับมือเหาฉ่วงนั่นได้ พวกเราสมควรลงมือช่วยเหลือหรือไม่?” ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงมองไปยังผู้พิทักษ์สื่อเฟิง กล่าวถามออกมาเสียงเครียด ถึงแม้มันจะเคยมีเรื่องให้ไม่พอใจต้วนหลิงเทียนมาก่อน ทว่านั่นเป็นเรื่องราวความขัดแย้งภายใน ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับศึกจากภายนอก มันย่อมไม่คิดเพิกเฉยความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนเพราะความขัดแย้งส่วนตัว ยังเลือกจะยืนหยัดข้างต้วนหลิงเทียน และนี่เป็นเหตุผลที่ไฉนมันถึงยืนหยัดข้างต้วนหลิงเทียน ทั้งคอยกล่าวช่วยตั้งแต่แรก “ข้าเองก็อยากช่วยไม่ต่างกัน…แต่เจ้าคิดว่าพวกเรายังมีโอกาสช่วยได้หรือ? ข้ามั่นใจว่าตราบใดที่พวกเราลงมือ มหาธรรมราชาทั้ง 2 รวมถึงจ้าวลัทธิอารามทมิฬนั่น…ไม่พ้นต้องลงมือกับพวกเราทันทีแน่!” ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงได้แต่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขื่นขม ขณะเดียวกันก็หันไปเหลือบมองพญามังกรเสื้อม่วงกับจ้าวพยัคฆ์ขาว มันไม่ใช่คู่มือใครแม้แต่คนเดียวในบรรดา 2 คนนั่น…! ตอนนี้เมื่อผู้พิทักษ์หลิงเทียนถูกเหาฉ่วงรั้งตัวไว้ ตราบใดที่มหาธรรมราชาทั้ง 2 ลงมือเคลื่อนไหวล่ะก็ พวกมัน 4 ผู้พิทักษ์แย่แน่! ยังไม่ต้องกล่าวถึงจ้าวลัทธิอารามทมิฬกับรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 ด้วยซ้ำ อาศัยมหาธรรมราชา 2 คนผนึกกำลังกัน พวกมันก็รับมือไม่ไหวแล้ว! เมื่อเหลิ่งอิงได้ยินคำสื่อเฟิง มันก็หันมองไปยังมหาธรรมราชาทั้ง 2 และจ้าวลัทธิอารามทมิฬอย่างไม่รู้ตัว จนในที่สุดมันก็พบว่า… มหาธรรมราชาทั้ง 2 กับจ้าวลัทธิอารามทมิฬนั้น แม้สายตาจะจดจ่อไปยังเหาฉ่วงกับผู้พิทักษ์หลิงเทียนจริง ทว่าสำนึกเทวะกลับแผ่ออกมาเพ่งเล็งพวกมันเอาไว้… ราวกับจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกมันอยู่ตลอดเวลา! จังหวะนี้สีหน้าเหลิ่งอิงแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที สีหน้าท่าทีผู้พิทัก์ชิ่งหั่ว หงอวิ๋น และอาวุโสเพลิงทองรวมถึงรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 นั้นก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเหมือนกัน “ข้าเอาความมั่นใจมาจากไหนน่ะเหรอ…” ได้ยินวาจาถือดี ทั้งเห็นเหาฉ่วงปะทุพลังพร้อมลงมือ ต้วนหลิงเทียนก็เพียงยิ้มตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนไปในฉับพลัน! และเมื่อแววตาต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา กลิ่นอายพลังทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ระเบิดออกมาจนคนคล้ายจะแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน! หากเมื่อก่อนเขาแลคล้ายคุณชายอารมณ์ดีที่สง่างามล่ะก็… ตอนนี้เขาก็เหมือนทหารชาญศึกอันกระหายเลือด! และพร้อมกันกับที่สายตาเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นนั้น พลังเซียนสุริยันทั่วร่างก็ระเบิดออกมา จนหนุนเสริมให้สภาวะกลายเป็นดุร้ายเกรี้ยวกราดปานเทพสงครามในบัดดล! นอกจากนั้น โดยมีร่างเขาเป็นจุดศูนย์กลาง วังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งพลันอุบัติขึ้นในชั่วพริบตา! ปฐมเวทย์กลืนกิน! เพียงเวลาชั่วพริบตา เวทย์พลังสนับสนุนของต้วนหลิงเทียนก็สำแดงอานุภาพแล้วเสร็จ พลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลทั่วอาณาบริเวณโดยรอบถูกสูบกลืนเข้าร่างต้วนหลิงเทียน! ยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของเขาให้พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดอย่างฉับไว!! และเมื่อพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดถูกเร่งเร้าให้บรรลุขีดสูงสุด มวลอากาศโดยรอบก็เริ่มสะท้านสะเทือนขึ้นมาทันที ปรากฏเสียงแตกระเบิดดังขึ้นเบาๆไม่หยุด ราวกับความว่างเปล่าโดยรอบกำลังแตกออก “เหาฉ่วง เพื่อไม่ให้เสียเวลาข้า…วันนี้ข้ากับเจ้าเรามาตัดสินกันให้รู้ผลในกระบวนท่าเดียวเป็นไง?” และในขณะที่พลังเซียนสุริยันต้นกกำเนิดถูกเร่งเร้าจนบรรลุขีดสุด ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกเสมือนเลือดทั่วร่างกำลังเดือดพล่าน ก็มองกล่าวกับเหาฉ่วงออกมาด้วยน้ำเสียงท้าทาย แถมยังดังราวกับจะตะโกนเย้ยเยาะ! เพื่อไม่ให้เสียเวลาข้า ตัดสินกันในกกระบวนท่าเดียว? ทันทีที่วาจานี้ดังออกจากปากต้วนหลิงเทยน ฉากเรื่องราวถึงกับเงียบงันไปทันใด เหาฉ่วงอึ้ง ลัทธิอารามทมิฬอึ้ง กระทั่งลัทธิบูชาไฟก็ยังอึ้ง! ครู่ต่อมาก็เป็นเหาฉ่วงที่ฟื้นตัวคนแรก หลังจากรู้สึกตัวก็อดยิ้มเย็นไม่ได้ “ข้ายังคงไม่ทราบจริงๆว่าเจ้าไปเอาความกล้ามาแต่ที่ใด ถึงกล้าคิดฝันว่าจะเอาชนะข้าได้!” “อะไร? พูดมากพิรี้พิไรแบบนี้หรือเจ้าไม่กล้า?” ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลง ค่อยยกยิ้มแสยะกล่าวเย้ยด้วยน้ำเสียงสมเพช “เฮอะ! ข้า? ไม่กล้า!?” ได้ยินวาจาปรามาสนี้ของต้วนหลิงเทียน วูบแรกเหาฉ่วงถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง ต่อมาก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น! เมื่อเสียงหัวเราะจบลง มันก็มองกล่าวกกับต้วนหลิงเทียนดวยความดูแคลน “เหลวไหลสิ้นดี! ข้ามีหรือจะไม่กล้า!!” “ก็ดี! ในเมื่อเจ้ามันรีบร้อนอยากตายมากนัก เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าสักครา!” สิ้นเสียงกล่าว พลังเซียนต้นกำเนิดทั่วร่างเหาฉ่วงพลันปะทุลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ มันสำแดงเวทย์พลังสนับสนุน ยกระดับพลังเซียนต้นกำเนิดในกายทันที! แน่นอนว่าเวทย์พลังสนับสนุนที่มันเพาะสร้างนั้น ประสิทธิภาพในการเพิ่มพูนพลังเซียนต้นกำเนิดเป็นอะไรที่อ่อนด้อยกว่าปฐมเวทย์กลืนกินของต้วนหลิงเทียนมาก อย่างไรก็ตามแม้เวทย์พลังสนับสนุนของมันจะอ่อนด้อยกว่า หากทว่าฐานพลังแต่เดิมของมันก็เหนือกว่าต้วนหลิงเทียนมาก! เพราะสุดท้ายแล้วมันก็คือเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน และอันที่จริงมันยังห่างจากการทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนไม่ไกล เรียกว่าบัดนี้มันได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วก็ว่าได้! ยิ่งพอเวทย์พลังสนับสนุนของมันเผยฤทธิ์เต็มอัตรา พลังเซียนต้นกำเนิดของมันก็เพิ่มพูนขึ้นจนแทบจะใกล้เคียงกับระดับพลังเซียนต้นกำเนิดของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอยู่รอมร่อ! ขวับ! ทันใดนั้นเอง ปรากฏพลองเล่มหนึ่งผุดโผล่จากความว่างเปล่าเข้ามือเหาฉ่วง พลองนี้มองไปทีแรกก็แลดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่พอเหาฉ่วงถ่ายทอดพลังเซียนต้นกำเนิดลงไป ตัวพลองก็คล้ายจะมีชีวิตขึ้นมาทันที มันเปล่งแสงพลังทั้งรัศมีแสงอันน่าเกรงขามออกมา! “นั่นมัน…พลองธัมมะ!” สีหน้าผู้พิทักษ์สื่อเฟิงแปรเปลี่ยนไปครั้งใหญ่!
คอมเม้นต์