War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1832
ตอนที่ 1,832 : ทัพเกราะทมิฬ ตำหนักเมฆาคราม! “ท่านพ่อ…น้องหลิงเทียนกับข้าเจียนขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนอยู่รอมร่อ แล้วเขายังจะย้ายข้างไปตำหนักเมฆาครามทำอะไรเอาป่านนี้เล่า?” กู่ลี่ถึงกับพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง หลังได้ยินคำของกู่ซืออวิษน “หากไม่ใช่เรื่องนี้…แล้วเสี่ยวเทียนไปตำหนักเมฆาครามทำอันใดเล่า?” กู่ซืออวิ๋นพยักหน้ารับ ค่อยยู่คิ้วถามด้วยสงสัย ก็จริงในเมื่อสหายน้อยผู้นั้นของมันคิดไปยังภูมิภาคเบื้องบนแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องย้ายข้างเปลี่ยนฝั่งไปเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาคราม เพราะไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย “ตำหนักเมฆาครามเป็นบ้านน้องหลิงเทียน แล้วเขาจะกลับบ้านไปทำอันใดได้ หากไม่ใช่ไปพบหน้าครอบครัว?” กู่ลี่ถอนหายใจออกมาด้วยมวลอารมณ์ “ว่าอะไร?” กู่ซืออวิ๋นมองกู่ลี่ด้วยสายตาอื้ออึง “กลับบ้าน? ตำหนักเมฆาครามน่ะหรือบ้านเสี่ยวเทียน เจ้าหมายความว่าอะไร…เสี่ยวเทียนไปเกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักเมฆาคราม พบหน้าครอบครัวอันใด? ไม่สิหากเขามีสัมพันธ์อันใดกับตำหนักเมฆาคราม..แล้วจะมาเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับเราทำอะไรแต่แรก?” “และหากเสี่ยวเทียนมาจากตำหนักเมฆาครามจริง ด้วยพรสวรรค์ระดับนี้สมควรมิใช่ชนชั้นธรรมดา…แต่ไฉนข้ากลับมิเคยได้ยินว่าในตำหนักเมฆาครามมีอัจฉริยะเช่นนี้มาก่อน?” หลังกล่าวจบประโยค กู่ซืออวิ๋นก็ส่ายหัวไปมา “ท่านพ่อ ท่านยังจำต้นกำเนิดของจ้าวตำหนักเมฆาครามได้หรือไม่?” กู่ลี่กล่าวถาม แม้จะไม่ทราบว่าลูกชายตัวเองถามเรื่องนี้ทำไม แต่กู่ซืออวิ๋นก็พยักหน้าตอบไป “แน่นอนว่าข้าย่อมจำได้! จ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิงผู้นั้น เป็นยอดฝีมือที่มีชาติกำเนิดอยู่ที่ทวีปมนุษย์…และนี่ยังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเรา ที่มีคนจากทวีปมนุษย์ครองอำนาจและเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ระดับนี้” “แล้วถ้าข้าบอกท่านพ่อว่า…น้องหลิงเทียนเองก็มาจากทวีปมนุษย์ด้วยเล่า?” กู่ลี่กล่าวถามออกมาอีกครั้ง “อะไรนะ! เสี่ยวเทียนเองก็มาจากทวีปมนุษย์ด้วย!?” กู่ซืออวิ๋นตกตะลึงไปไม่น้อย ครู่ต่อมามันก็เริ่มกล่าวพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทวีปมนุษย์สามารถเพาะสร้างยอดฝีมืออันร้ายกาจปานปีศาจได้บ่อยครั้งขนาดนี้?” “ท่านพ่อ…น้องหลิงเทียนเป็นลูกชายของจ้าวตำหนักเมฆาคราม ทั้งยังเป็นลูกชายคนเดียว” กู่ลี่กล่าวต่อ เมื่อเห็นว่าบิดาของมันไม่คิดจะเชื่อมโยงอะไรเลย คำของกู่ลี่เหมือนระเบิดลงไม่มีผิด พาลให้กู่ซืออวิ๋นอื้ออึงไปราวตัวโง่งม เนิ่นนานกว่าจะฟื้นคืนสติ อดไม่ได้ที่จะมองถามกู่ลี่ด้วยความตกใจ “ลี่เอ๋อที่เจ้ากล่าวเป็นเรื่องจริง?! เสี่ยวเทียนน่ะหรือ..เป็นบุตรชายคนเดียวของจ้าวตำหนักเมฆาคราม!?” “เรื่องจริง!” กู่ลี่พยักหน้า “แต่…ในเมื่อเสี่ยวเทียนเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของจ้าวตำหนักเมฆาคราม แล้วไฉนถึงต้องมาเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับเราด้วย?” เรื่องนี้กู่ซืออวิ๋นยังงงไม่หาย ด้วยไม่เข้าใจจริงๆ อย่างไรก็ตามหลังได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากกู่ลี่ กู่ซืออวิ๋นก็พอจะเข้าใจได้ ที่แท้ต้วนหลิงเทียนทำเบาะแสที่บิดาเหลือทิ้งไว้ให้ขาดหาย ทำให้ไม่ได้ไปยังตำหนักเมฆาครามตั้งแต่แรกที่มาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และไม่รู้ถึงตัวตนของบิดาแต่แรก จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ พอได้ยินนามเต็มๆของจ้าวตำหนักเมฆาคราม และความเป็นมาที่สอดคล้องหลายๆอย่างทำให้ตระหนักได้ จ้าวตำหนักเมฆาครามที่แท้คือบิดาของเขา! และนัน่ทำให้เขารีบเดินทางไปยังตำหนักเมฆาครามเพื่อพบหน้าครอบครัวทันที “ที่แท้เรื่องราวกลับเป็นเช่นนี้นี่เอง…จ้าวเติงกับจ้าวจินมันไม่รู้ภูมิหลังของเสี่ยวเทียน…หาไม่แล้วต่อให้พวกมันมีความกล้ามากกว่านี้อีกร้อยเท่าพวกมันก็ไม่กล้าตอแยเสี่ยวเทียน!” กู่ซืออวิ๋นกล่าวคำออกแน่นหนัก สองตาทอประกายสว่างจ้า “ท่านพ่ออัตลักษณ์น้องหลิงเทียนค่อนข้างละเอียดอ่อน ยากที่จะเปิดเผยออกไป…เพราะไม่เพียงแต่เขาจะเป็นลูกชายของจ้าวตำหนักเมฆาคราม แต่เขายังถือครองตราผนึกมารด้วย! หากข่าวเรื่องตราผนึกมารแพร่กระจายออกไป ข้ากลัวว่ากระทั่งตำหนักเมฆาครามก็ยากจะปกป้องเขาได้ เพราะยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนก็ไม่พ้นถูกอำนาจของตราผนึกมารล่อลวง” กู่ลี่กล่าวออกด้วยใบหน้าเป็นกังวล “นั่นสิ ความเย้ายวนใจของตราผนึกมารมันมีมากเกินไปจริงๆ!” กู่ซืออวิ๋นครุ่นคิดอย่างจริงจัง ค่อยมองกู่ลี่กล่าวว่า “เช่นนั้นด้วยเหตุนี้เรามิอาจเปิดเผยภูมิหลังของเสี่ยวเทียนออกไปได้เด็ดขาด…หาไม่แล้วทั้งเขาและตำหนักเมฆาครามต้องพบพานหายนะแน่! คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!” “ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ” กู่ลี่กล่าวตอบด้วยความจริงจัง ส่วนอีกด้านนั้น จ้าวเติงกับจ้าวจินได้แต่กลับบ้านไปนั่งเครียดกันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว จนถึงตอนนี้พวกมันก็ไม่มีเบาะแสใดๆเลยว่าจี้เอ๋อของพวกมันตายอย่างไร.. พลังฝีมือของพวกมันนับว่าร้ายกาจไม่ใช่ชั่ว อนิจจากลับไม่รู้จะฟาดงวงฟาดงาไปที่ใคร… “หากคิดหาฆาตกรฆ่าจี้เอ๋อ ตอนนี้พวกเราเหลือวิธีเดียวเท่านั้น…” จ้าวจินกล่าวออกเสียงเข้ม “ท่านพ่อหมายถึงหลิงเทียนงั้นหรือ?” จ้าวเติงถาม “ถูกแล้ว” จ้าวจินหยักหน้ารับค่อยกล่าว “เท่าที่ข้ารู้มาหลิงเทียนนั่นมันนัดกับสารเลวน้อยกู่ลี่เอาไว้แล้วว่าจะไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน…หากแต่ตอนนี้มันกลับเดินทางออกไปคนเดียว ทั้งๆที่สารเลวน้อยกู่ลี่ก็บรรลุถึงเซียนมนุษย์เรียบร้อย แต่มันก็ไม่ได้ออกไปกับหลิงเทียน…” “ข้าคิดมาโดยตลอด…ตอนนี้หลิงเทียนยังมิควรไปยังภูมิภาคเบื้องบนอย่างที่เจ้าบอก อีกทั้งทิศทางที่มันมุ่งหน้าไป ก็ไม่ใช่ทางไปภูมิภาคเบื้องบน…มันสมควรไปทำธุระอันใดสักอย่าง!” จ้าวจินกล่าวออกมารวดเดียวจบ “ท่านพ่อ…เช่นนั้นพวกเราไม่ไปถามกู่ลี่ดูเล่าว่าหลิงเทียนมันไปไหน?” สองตาจ้าวเติงทอประกายวูบวาบเร่งกล่าว “ฮึ่ม! เจ้าคิดว่าสารเลวน้อยกู่ลี่มันจะบอกเจ้ารึไง?!” จ้าวจินกล่าวตอบเสียงเย็นเจือความไม่สบอารมณ์ แววตาที่ใช้มองจ้าวเติงยังทำราวกับชมมองตัวโง่งม หากเป็นคนอื่นใช้สายตาแบบนี้มองมา จ้าวเติงคงมีโมโหทั้งเดือดดาลแผลงฤทธิ์ใส่ไปแล้ว แต่นี่เป็นบิดาของมัน ไหนเลยมันจะกล้าเผยทีท่าไม่พอใจออกมาได้?! “ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านคิดว่าตอนนี้พวกเราควรทำอะไร?” จ้าวเติงกล่าวถามอีกครั้ง “เจ้าไปจับตาดูสารเลวน้อยกู่ลี่ไว้เสีย…หากพวกเราคิดหาตัวหลิงเทียน มันคือเบาะแสสำคัญเพียงหนึ่งเดียว! หากมันไม่ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับก็ดีไป แต่หากมันออกไปพบเจอหลิงเทียนด้านนอกล่ะก็…ได้รู้กัน!” จ้าวจินกล่าวออกเสียงเหี้ยม “ตั๊กแตนจ้องจับจั๊กจั่นไม่รู้ภัยนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง!” สองตาจ้าวเติงทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันใด ยังลอบชื่นชมบิดาตัวเองไม่น้อย สมแล้วที่ว่า ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน! ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรในตำหนักฟ้าลี้ลับเลย ตอนนี้เขาเดินทางเข้าใกล้เขตพื้นที่ของตำหนักเมฆาครามแล้ว ตำหนักเมฆาครามนั้นตั้งอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง ตำหนักหลักยังลอยล่องอยู่เหนือทะเลสาบมหึมาที่กว้างใหญ่สุดลุกหูลูกตา เรียกว่ายามยืนอยู่ริมฝั่งของทะเลสาบ แล้วทอดตามองออกไปหมายชมดูอีกฝั่งล่ะก็…เกรงว่าคงต้องผิดหวัง! เพราะไม่เพียงไม่อาจแลเห็น ยังให้ความรู้สึกเสมือนยืนอยู่ริมหาดและกำลังชมมองมหาสมุทรสุดไพศาล!! นี่คือทะเลสาบ ‘ผานหลง’ ที่ห้อมล้อมพื้นที่ตำหนักเมฆาครามเอาไว้(มังกรขนด) ทั้งทะเลสาบประหนึ่งมังกรตัวเขื่องที่กำลังขนดขดตัว ห้อมล้อมพื้นที่ของตำหนักตำหนักเมฆาครามเอาไว้…นับว่าสมชื่อทะเลสาบผานหลง ของมัน “ตำหนักเมฆาคราม…ท่านแม่ เทียนเอ๋อคนนี้จะไปพบท่านแล้ว!” “เสี่ยวเฟยเอ๋อ ข้ามาแล้ว…ข้าจะได้เจอเจ้ากับลูกของเราแล้ว!” “ท่านพ่อข้ามาแล้ว…” นอกทะเลสาบผานหลง ต้วนหลิงเทียนที่ลอยล่องอยู่เหนือฟ้า มองไปยังทะเลสาบกว้างใหญ่สุดสายตาเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้น หลังจากนิ่งมองอีกพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็สงบอารมณ์ตื่นเต้นลงได้ ค่อยๆเหินร่างเข้าเขตทะเลสาบผานหลงทันที และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างล่วงล้ำเข้ามาเหนือน่านฟ้าทะเลสาบผานหลงได้ไม่ทันไร ทะเลสาบผานหลงที่เคยเงียบสงบคล้ายกลายเป็นลำน้ำอันเชี่ยวกราด ระลอกคลื่นซัดกวาดออกไปทั่วทิศ เสียงหนึ่งดังขึ้นดังสนั่นไปทั่ว เป็นเสียงกลุ่มคนมากมาย กำลังพุ่งทะยานแหวกน่านฟ้าเหนือทะเลสาบเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูง! “ผู้ใดกล้าบุกเข้ามายังอาณาเขตตำหนักเมฆาครามของเรา!” ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงดังปานฟ้าร้องก็ดังก้องเข้าหูต้วนหลิงเทียน เรียกว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนล่วงล้ำเข้ามาเหนือน่าฟ้าของทะเลสาบผานหลง ร่างกลุ่มคนที่ไม่ทราบมาจากไหนพลันเหินร่างพุ่งมาปิดล้อมเขาแทบจะทันที! “สัตว์ร้าย?” ขณะเดียวกันลูกตาต้วนหลิงเทียนก็จับจ้องไปยังร่าง 10 ร่างที่ใหญ่โตมหึมาแลดูน่าเกรงขาม…พวกมันเป็นสัตว์ร้ายตัวเขื่อง! บนด้านหลังของสัตว์ร้ายตัวเขื่องยังมีร่างสีดำยืนตระหง่านอยู่ ดูคล้ายทั้งหมดจะเป็นทหาร ต่างมากันในชุดเกราะสีดำสนิท! ทหารเหล่านี้ให้ความรู้สึกเย็นชาน่าเกรงขาม แต่ละคนสีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ “องครักษ์เกราะทมิฬ?” ก่อนที่จะมาต้วนหลิงเทียนก็ได้หาข้อมูลของตำหนักเมฆาครามเอาไว้คร่าวๆแล้ว เขารู้ว่าตำหนักเมฆาครามจะมี องครักษ์เกราะทมิฬ คอยปกปักษ์รักษาความปลอดภัยอยู่ และยังเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งลือชื่อของตำหนักเมฆาครามอีกด้วย องครักษ์เกราะทมิฬที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุด ก็อยู่ในขอบเขตอริยะเซียนขั้นต้น ในตำหนักเมฆาครามนั้น มีเพียงผู้ที่บรรลุด่านพลังอริยะเซียนแล้วเท่านั้นถึงจะมีโอกาสทดสอบเพื่อเข้าร่วมกับองครักษ์เกราะทมิฬ และเพราะกองกำลังองครักษ์เกราะทมิฬมักจะมีเพียง 1,000 คนเท่านั้น พวกมันจึงถูกเรียกขานกันว่า กองพันเกราะทมิฬ! กองพันเกราะทมิฬนี้มีเชียนฟูฉาง 1 คน ไป่ฟูฉาง 10 คน และ สือฟูฉ่าง 100 คน(เชียน,ไป่,สือฟูฉาง = นายพัน นายร้อย นายสิบ ขอทับศัพท์นะ) และเชียนฟูฉางก็คือผู้บัญชาการทัพเกราะทมิฬ นอกจากนั้นมันยังเป็นหนึ่งในยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีของตำหนักเมฆาคราม! ส่วนไป๋ฟูฉางทั้ง 10 คนนั้น มักถูกเรียกว่านายกอง พลังฝึกปรือของพวกมันผู้ที่อ่อนด้อยที่สุดก็อยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญ ส่วนสือฟูฉางนั้น มักถูกเรียกว่าหัวหน้าหมู่และคนที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็บรรลุอริยะเซียนขั้นสูงสุด! ‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนกล่าวกันว่าตำหนักเมฆาครามแข็งแกร่งพอจะคานอำนาจกับตลาดมืดหยินชานได้…แต่หน่วยองครักษ์ที่มีหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยยังมีพลังขนาดนี้…เทียบกับตำหนักฟ้าลี้ลับแล้วคนละเรื่อง ขุมพลังของตำหนักฟ้าลี้ลับเซียนปฐพีก็มีแค่ชนชั้นจ้าวตำหนักกับผู้พิทักษ์เท่านั้น ยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญขึ้นไปก็มีไม่ถึง 10’ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจ และขุมพลังที่น่ากลัวนี้ ก็คือกองกำลังที่อยู่ภายใต้บัญชาของบิดาเขา! ‘บิดาไม่เอาไหนของข้าหายตัวไปไม่ถึง 20 ปี ก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในทวีปเมฆาล่อง…แสดงว่าในเวลาไม่ถึง 20 ปีไม่เพียงแต่จะสร้างชื่อให้ตัวเอง ยังไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม กระทั่งยกระดับตำหนักเมฆาครามจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เคยมีอำนาจอยู่ในระดับสามัญให้ผงาดขึ้นมาถึงยอดปิรามิดแห่งอำนาจ คานงัดกับตลาดมืดหยินชานได้อย่างไม่เสียเปรียบ!’ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะทึ่ง ด้วยไม่ทราบว่าในเวลาแค่นี้บิดาของเขาทำได้อย่างไร หากเป็นเขาเกรงว่าคงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้ “หากไม่มีกิจธุระอันใด เชิญออกไปให้พ้นอาณาเขตของทะเลสาบผานหลงภายใน 10 ลมหายใจเสีย! หาไม่แล้ว ตาย!!” เมื่อเห็นหลิงเทียนลอยร่างนิ่งเงียบคล้ายไม่ได้แยแสอะไรพวกมัน คนผู้หนึ่งพลันก้าวออกมาประกาศเสียงดัง น้ำเสียงดังดุร้ายน่ากลัวนัก! คนที่กล่าวนั้น สมควรเป็นผู้นำของทหารเกราะทมิฬทั้ง 10 ต้วนหลิงเทียนที่เห็นอีกฝ่ายก้าวออกมาประกาศคำก็ใช้เนตรเทวะสำรวจพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายทันที และเขาพบว่าพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายอยู่ในขอบเขตอริยะเซียนขั้นสูงสุด… ‘ดูเหมือนว่าจะเป็นสือฟูฉาง…’ ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดา “พี่ชายสือฟูฉาง เหตุผลที่ข้ามาเยือนตำหนักเมฆาคราม เพราะข้ามาหาจ้าวตำหนักเมฆาคราม” ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เปิดเผยตัวตนในฐานะนายน้อยของพวกมันออกไป แต่บอกว่าจะมาหาจ้าวตำหนักเมฆาครามของพวกมันแทน “มิทราบเจ้าเป็นผู้ใด? และต้องการพบท่านจ้าวตำหนักของพวกเราด้วยเหตุใด?” สือฟูฉางกล่าวถามออกมาอีกครั้ง คราวนี้ในน้ำเสียงลดทอนความดุร้ายลงไปหลายส่วน
คอมเม้นต์