War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1804
ตอนที่ 1,804 : เงื่อนไขของฉีจิ้ง “ทำไมเจ้าต้องเชื่อข้างั้นเหรอ…” ได้ยินคำของฉีจิ้ง จ้าวจี้อึ้งไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวตอบออกไปอย่างไร้แยแส “เจ้าจำต้องเชื่อใจข้า เพราะเจ้ามิมีทางเลือก!” จ้าวจี้คิดว่าฉีจิ้งต้องตื่นตระหนกเสียอีกหลังได้ยินเรื่องราว และสมควรถูกมันจูงจมูกได้โดยง่าย แต่ใครจะไปรู้ว่าฉีจิ้งกลับไม่งับเหยื่อ “มิมีทางเลือก? เช่นนั้นก็แล้วกันไปเถอะ…หลิงเทียนจักเป็นศิษย์น้องลี่เฟิงแล้วอย่างไร? สุดท้ายเป้าหมายของข้าก็คือล้างแค้นลี่เฟิงนั่น มิใช่มันเสียหน่อย…” “ถึงแม้หากมันตายไปข้าจะมีความสุขอยู่บ้าง แต่สุดท้ายลี่เฟิงก็ยังอยู่ดี…แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด?” วาจาท้ายประโยคของฉีจิ้งเต็มไปด้วยความเฉยชา คล้ายไม่ได้สนใจว่าศิษย์น้องลี่เฟิงอย่างหลิงเทียนจะอยู่หรือตายแม้แต่น้อย! จ้าวจี้ที่ได้ยินถึงกับอึ้งไปแล้วจริงๆ ทุกเรื่องราวผิดจากที่มันคิดคาดไว้อย่างสิ้นเชิง! มันไม่ควรเป็นแบบนี้! “เจ้าคิดใช้ชีวิตหลิงเทียนแลกกับเคล็ดมารกลืนหยินของข้านับว่าฝันเฟื่องไปแล้ว! หากข้าเดามิผิด…เจ้ากลัวว่าหลังจากที่คนของตำหนักฟ้าลี้ลับค้นพบเคล็ดมารกลืนหยินจากวิชาควาญวิญญาณแล้ว พวกมันจักทำลายหรือนำไปผนึกให้ฝุ่นเกาะ และห้ามมิให้ผู้ใดฝึกปรือใช่หรือไม่?” ฉีจิ้งยังส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะมาอย่างต่อเนื่อง “มิคาดเจ้ากลับต้องการเคล็ดมารกลืนหยินจากข้า…ทั้งยังคิดบ่มเพาะโดยไม่กลัวว่าโลกหล้าจะรุมประนามเจ้า! ข้าล่ะมิอยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่านายน้อยสกุลจ้าวผู้ยิ่งใหญ่จากตำหนักฟ้าลี้ลับจะเลือกกระทำเรื่องผิดบาปเพื่อพลังอำนาจได้อย่างไม่ละอาย” “เฮอะ! สมแล้วที่เป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง…เจ้านับว่าฉลาดนัก!” หน้าจ้าวจี้ตอนนี้บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก อย่างไรก็ตามโอกาสเดียวที่จะได้รับเคล็ดมารกลืนหยินอยู่ตรงหน้า มันย่อมไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ หากฉีจิ้งถูกสืบค้นวิญญาณ เคล็ดมารกลืนหยินก็จะถูกเปิดโปง ถึงตอนนั้น เมิ่งฉิง จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ ถ้าไม่ทำลายทิ้งก็ต้องเอาไปผนึกแน่ ไม่มีทางอนุญาตให้ใครฝึกฝนมันเด็ดขาด ถึงแม้ว่าการบ่มเพาะพลังด้วยการสูบกลืนพลังหยินกับแก่นแท้โลหิตจากสตรีจะชั่วร้ายเลวทราม หากแต่กลับเป็นหนทางที่จะได้รับพลังอำนาจด้วยความเร็วอัศจรรย์ จ้าวจี้ที่เห็นแก่ตัวเป็นทุนย่อมไม่แยแส! เช่นนั้นจ้าวจี้จึงอยากได้เคล็ดมารกลืนหยินจับใจนัก! “เช่นนั้น…เพื่อให้เจ้าส่งมอบเคล็ดมารกลืนหยินให้ข้า เจ้าจะให้ข้าทำอะไร?” สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง จ้าวีจ้พลันกล่าวถามออกไปผ่านสำนึกเทวะ “อยากให้ข้ามอบเคล็ดมารกลืนหยินให้เจ้าน่ะเหรอ…” น้ำเสียงเฉยเมยของฉีจิ้งดังขึ้นในใจจ้าวจี้ “ง่ายดายนัก…ตราบใดที่เจ้าช่วยให้ข้ารอดชีวิตจากที่นี่ไปได้ ข้าจะค่อยๆถ่ายทอดเคล็ดบำเพ็ญมาร มารกลืนหยินให้เจ้าทีละส่วนๆ” ท้ายประโยค เสียงฉีจิ้งกล่าวออกคล้ายเป็นเรื่องง่ายดาย “นั่นเป็นไปไม่ได้!” จ้าวจี้ไม่คิดเลยว่าฉีจิ้งจะเรียกร้องเรื่องเหลวไหลแบบนี้! ช่วยชีวิตฉีจิ้ง? ล้อกันเล่นรึไง! ถึงมันจะเป็นหลานชายของอาวุโสผู้พิทักษ์และบุตรชายของรองจ้าวตำหนัก แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยฉีจิ้งไปจากที่นี่! เว้นเสียแต่ปู่กับบิดาของมัน จะให้ความช่วยเหลือจากมันอีกทาง ทว่านั่นเป็นไปไม่ได้ จ้าวจี้รู้ดีว่าแม้ปู่กับบิดาของมันจะตามใจมันมากแค่ไหน แต่หากมันบอกว่าคิดจะฝึกปรือบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินล่ะก็ทั้งคู่ย่อมคัดค้านหัวชนฝาแน่!! ไม่ใช่ว่าบิดากับปู่ของมันรับไม่ได้กับความชั่วร้ายที่สวรรค์ยังยากจะอภัย แต่บิดากับปู่ของมันกลัวมันตกเป็นเป้าของปวงชนหลังจากบ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยิน! เพราะสุดท้ายแล้วในอดีต ผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยินก็เป็นศัตรูของผู้คนทั้งใต้หล้า! ยังมีข่าวลือบางอย่างพูดกันด้วยซ้ำ ว่าหลังจากขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนแล้ว ชีวิตของผู้ฝึกมารคนนั้นก็ใช่ว่าจะราบรื่นอะไร ยังต้องหลบซ่อนๆเยี่ยงสุนัขหางจุกตูดหรือมุกสิกขลาดเขลามุดท่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็มิจำเป็นต้องสนทนาใดกันอีก…ข้าจะรอให้ยอดฝีมือตำหนักฟ้าลี้ลับมาสืบค้นวิญญาณหลังจากที่วิญญาณของข้าฟื้นฟูแล้วกัน” ฉีจิ้งยังส่งเสียง่านสำนักเทวะมาไม่หยุด ในวาจาแฝงเร้นไปด้วยความแดกดันราว ‘หมูตายไม่กลัวน้ำเดือด’ “เจ้าสมควรรู้ว่าด้วยความสามารถของข้า การจะช่วยเจ้าให้รอดไปจากที่นี่ยังยากกว่าปีนป่ายสวรรค์…เจ้าไม่สู้เปลี่ยนคำขอเถอะ!” จ้าวจี้ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวพไปต่อรอง อย่างไรก็ตามคราวนี้ฉีจิ้งไม่สนใจจะตอบมัน หากแต่การเงียบไม่ตอบของฉีจิ้ง ก็เป็นการตอบคำของจ้าวจี้ประการหนึ่ง มันไม่เปลี่ยนเงื่อนไข หากช่วยชีวิตมันได้ ก็จะได้รับเคล็ดมารกลืนหยิน หาไม่แล้วก็อย่าหวัง หลังจากที่ตะโกนผ่านสำนึกเทวะอีกพักหนึ่ง หากแต่ฉีจิ้งยังไม่ตอบสนอง ใบหน้าของจ้าวจี้ก็เผยความซึมเศร้าอับจนออกมา “จี้เอ๋อ มีอันใดผิดปกติหรือ…รึว่าฉีจิ้งมันตอบคำเจ้า!?” จ้าวเติงเอะใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอยู่ๆสีหน้าของจ้าวจี้เปลียนไป “บัดซบ! เจ้ากล้าเมินข้างั้นเหรอ!!” สิ้นคำจ้าวเติง จ้าวจี้ก็หายจากอาการซึมเซา แถมยังกลายเป็นก้าวร้าวปานถูกฉีดเลือดไก่ ยกฝ่ามือขึ้นอย่างดุร้ายก่อนที่จะตบไปยังใบหน้าฉีจิ้งอย่างเกี้ยวกราด อีกทั้งยังง้างมือขึ้นสูงอีกครา ราวกับจะตบฟาดลงไปที่ขมับของฉีจิ้งที่นอนนิ่งบนเตียงให้แหลก! “จี้เอ๋อนั่นเจ้าคิดจะทำอันใด!?” สีหน้าจ้าวเติงเปลี่ยนไปมหันต์เมื่อเห็นจ้าวจี้ง้างมือผนึกพลัง ยังรีบพุ่งร่างออกไปคว้าข้อมือของจ้าวจี้เอาไว้อย่างร้อนใจ ขัดขวางไม่ให้จ้าวจี้ทุบลงไปจริงๆ! “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร! หากเจ้าฆ่ามันไม่เพียงแต่จ้าวตำหนักจะไม่ปล่อยเจ้าไป…แต่เจ้าจะกลายเป็นศัตรูร่วมของเหล่าอาวุโสทั้งหลายในตำหนัก!” “แถมเพราะเรื่องนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าไม่ว่าเจ้าประสบความสำเร็จมากเพียงใด ก็ยากที่จะได้ตำแหน่งจ้าวตำหนักมาครองแล้ว!” วาจาท้ายประโยคของจ้าวเติงยังเปี่ยมล้นไปด้วยความรมณ์รุนแรงนัก “ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว…” ขณะเดียวกันจ้าวจี้ก็ก้มหน้าลงไปเล็กน้อยคล้ายรู้สึกสำนึกผิดหลังโดนบิดาดุด่า “แต่ท่านพ่อ…มันต้องแกล้งหลับเป็นแน่! ถึงแม้วิญญาณของมันจะยังกระจัดกระจายไม่หายดี แต่ไม่ควรที่มันจะสาหัสถึงขั้นที่มิอาจสื่อสารกับผู้คนได้” วาจาท้ายประโยคของจ้าวจี้แฝงเร้นไปด้วยความขุ่นขึ้ง ทำราวกับมันไม่อาจติดต่อสื่อสารกับฉีจิ้งได้จริงๆ เหตุผลที่มันต้องแสดงละครเช่นนี้ เพราะมันไม่อยากให้บิดาล่วงรู้ ว่ามันได้ติดต่อกับฉีจิ้งแล้ว… เพราะสุดท้ายแล้วบทสนทนาที่พวกมันหารือกันก็ไม่อาจเปิดเผยให้คนนอกล่วงรู้! “สมแล้วที่เป็นนายน้อยจ้าวจี้…จึกๆดูเอาเถอะ ท่านกลับสามารถโกหกหลอกลวงบิดาได้หน้าตาเฉยถึงเพียงนี้…ฮัยยา หากข้าเป็นบิดาของท่าน มิแคล้วคงต้องกระอักโลหิตสัก 3 ถังหากรู้ว่าท่านโกหก!” ฉีจิ้งที่เงียบไปนาน อยู่ก็กล่าวคำค่อนแคะผ่านสำนึกเทวะ “ฉีจิ้งเจ้าอย่าได้ใจให้มันมากนัก! ข้าไม่แน่ว่าจะมีวิธีช่วยชีวิตเจ้าไปจากที่นี่ได้…และถ้าข้าไม่มีวิธีเจ้าได้ตายแน่!!” จ้าวจี้ส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะไปอีกครั้ง “โอ้! หากกระทั่งนายน้อยอย่างท่านจ้าวจี้ผู้สูงส่งยังมิอาจช่วยชีวิตต้อยต่ำของข้าได้ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรมแล้วล่ะ” ฉีจิ้งกล่าวผ่านสำนึกเทวะออกมาอย่างเฉยเมย คล้ายไม่อนาทรร้อนใจใดๆว่าจะอยู่หรือตาย “จี้เอ๋อถึงแม้มันจะแสร้งหลับแต่พวกเราก็มิอาจทำอะไรมันได้…ทว่าต่อให้มันเสแสร้งอย่างไร อีกครึ่งปีมันก็มิอาจเสแสร้งใดๆได้อีก จำต้องเผยทุกสิ่งยามถูกสืบค้นวิญญาณ…” “และเมื่อตำหนักฟ้าลี้ลับเราได้รับข้อมูลเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงนั่นมาจากมันแล้ว สิ่งเดียวที่รอคอยมันอยู่ก็คือความตาย…” จ้าวเติงไม่คิดสงสัยจ้าวจี้ ยังพยายามกล่าวเพื่อให้บุตรชายสงบใจ “เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือกับคนที่ตายไปแล้ว…” “ทราบแล้วท่านพ่อ” จ้าวจี้พยักหน้า และหลังจากทำราวกับซึมซับวาจาสั่งสอนของบิดาจนเข้าใจแล้ว มันก็กล่าวคำลาทันที “ท่านพ่อข้าขอลาไปก่อน ข้าอยู่ที่นี่นานคงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร” “ไปเถอะ” จ้าวเติงเดินออกไปส่งบุตรชายหน้าทางเข้าคุกลับใต้ดิน ก่อนที่จะย้อนกลับมา ด้านจ้าวจี้ที่ออกมาจากคุกลับใต้ดิน ก็กลับบ้านมานั่งคิดหาหนทางจ้าละหวั่น ‘จักมีวิธีอันใดที่ข้าจะช่วยฉีจิ้งนั่นออกมาจากคุกลับใต้ดินโดยที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้บ้าง…มิว่าอย่างไรข้าก็ต้องเอาเคล็ดมารกลืนหยินนั่นมาให้จงได้…’ ‘หากข้าได้ฝึกฝนบ่มเพาะด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน พลังฝึกปรือของ้ขาต้องก้าวหน้าด้วยความเร็วอัศจรรย์! พรสวรรค์ทั้งศักยภาพแต่กำเนิดฉีจิ้งอ่อนด้อยกว่าข้ามาก แต่มันใช้เวลาแค่ปีเดียวทะลวงจากเซียนขัดเกลาขั้นต้นไปถึงขั้นสูงสุด! หากเป็นข้าต้องก้าวล้ำเหนือมันมากโข!!’ ตอนนี้ในหัวของจ้าวจี้ เคล็ดมารกลืนหยินเป็นอะไรที่เย้ายวนใจถึงขีดสุด ในขณะที่จ้าวจี้กำลังครุ่นคิดจนหัวแทบไหม้ ด้านต้วนหลิงเทียนก็ออกจากการปิดด่านฝึกตน วูบร่างออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ คิดออกไปสูดอากาศด้านนอก ทันทีที่เขาเปิดประตูบ้านพัก สำนึกเทวะก็แผ่ออกไปรอบๆตามความเคยชินเพื่อสำรวจตรวจสอบ และนั่นทำให้เขาสัมผัสได้ทันทีว่ามีใครบางคนกำลังซุ่มสอดแนมเขาจากที่ลับ…กระทั่งยั่งมีมากกว่าหนึ่งคน! “พวกตระกูลจ้าวงั้นเหรอ?” นอกเหนือจากคนตระกูลจ้าวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็นึกไม่ออกว่าเคยไปเหยียบเท้าผู้ใดอีก ถึงทำให้อีกฝ่ายมาซุ่มจับตาดูเขาแบบนี้ “เฮ่! เจ้าออกจากการปิดด่านแล้วหรือ!?” ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะไปหากู่ลี่ที่บ้าน พลันมีเสียงใสๆหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล เจ้าของเสียงเป็นสตรีแน่นอน มองไปไกลตาปรากฏร่างสตรีนางหนึ่งกำลังโรยตัวลงมาจากฟ้าอย่างสง่างามปานธิดาสวรรค์ ด้วยความสดใสที่แผ่ออกจากร่างของนาง ทำให้ทุกสิ่งรอบกายนางคล้ายจะหมองลงไปถนัดตา ผู้ที่มาหาเขาไม่ใชใครที่ไหน เป็นหวางเฟยเซวียนเอง “เจ้านี่เอง หายไปไหนมาตั้งนานล่ะ?” ต้วนหลิงเทียนยิ้มถาม “จะว่าไปก็ตั้งแต่แดนลับเซียนปิดตัวสินะ เจ้าหายไปกับจ้าววังนภา…หลังจากนั้นข้าก็ไม่เห็นเจ้าอีกเลย” “ทำไมเล่า? คิดถึงข้าแล้วล่ะสิ?” สองตาหวางเฟยเซวียนกลมโตขึ้นมาทันใด ยังเผยประกายสว่างจ้าจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยความร้อนแรง “เปล่า ข้าแค่รู้สึกไม่ชินเท่านั้น…ปกติแต่ก่อนเวลาข้าจะไปไหนเจ้าก็มาคอยวนเวียน ปานจะบินตามข้าไปทั่ว…พออยู่ๆเจ้าหายไปมันก็เลยโล่งแปลกๆน่ะ” ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำเปรียบเปรยออกมา นับว่าชัดเจนและเหมาะสมนัก อย่างไรเสียหลังได้ฟังวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน หวางเฟยเซวียนชักหน้าดุขึ้นมาทันที “วนเวียนบินตามอะไร เจ้าเปรียบเทียบข้าเป็นแมลงวันหรือ!?” “ข้ายังไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำเลยนะ” ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ “แต่ถ้าเจ้าร้อนตัวคิดไปเอง ข้าก็ช่วยไม่ได้” วาจานี้ของต้วนหลิงเทียน อธิบายได้คำเดียว น่ารำคาญนัก! หวางเฟยเซวียนชักหน้าทำตาดุมองต้วนหลิงเทียนอย่างขุ่นขึ้งค่อยกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าไปบ่มเพาะพลังที่สระวิญญาณมา…จะว่าไปช่างสมแล้วที่เป็นสระวิญญาณของวังนภา! มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! ตอนแรกข้าคิดว่าสมควรทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ภายใน 2 ปี…” “แต่ถ้าข้าได้เข้าไปใช้สระวิญญาณอีกสักครั้ง ข้าเชื่อมั่นว่าขอเวลาแค่ปีเดียวข้าต้องทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้แน่!!” วาจาท้ายประโยคของหวางเฟยเซวียนเผยให้เห็นความมั่นใจเต็มเปี่ยม ความมั่นใจนี้คล้ายจะส่งผลต่อต้วนหลิงเทียนเช่นกัน “ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย” ต้วนหลิงเทียนกล่าวแสดงความยินดีกับนาง เขารู้ดีแก่ใจ ว่าลองหวางเฟยเซวียนถูกจูลู่ฉีส่งเสริม หนทางในภายภาคหน้าของนางต้องราบรื่นแน่นอน เขาเองก็รู้สึกยินดีจากใจ เพราะสุดท้ายเขาก็เห็นนางเป็นสหายคนหนึ่ง… การยินดีมีสุขเมื่อเห็นสหายได้ดี ก็นับเป็นเรื่องปกติ แม้วาจาแสดงความยินดีนี้ หวางเฟยเซวียนจะได้ยินมาแล้วหลายครั้ง หากแต่ไม่ว่าจะได้ยินมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนคุ้นชิน แต่พอมันดังผ่านปากของต้วนหลิงเทียน ความรู้สึกของนางกลับต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะนางรู้สึกเสมือนโดนสายลมในฤดูใบไม้ผลิrพัดผ่านอาบไล้ไปทั่วกายอย่างไรอย่างนั้น!
คอมเม้นต์