War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1708
ตอนที่ 1,708 : โต้งๆ! ในขณะที่ทำลายโซ่ตรวนและเครื่องพันธนาการจนปลดปล่อยป๋ายลี่หงได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ ‘พลังฝึกปรือของศิษย์พี่บรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นแล้ว กับอีแค่การทรมานร่างกายด้วยกลวิธีปกติพวกนี้ไม่น่าจะทำให้ศิษย์พี่เจ็บปวดถึงขั้นสิ้นสติได้เลยนี่นา…’ ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เขาก็เริ่มสำรวจสภาพร่างกายป๋ายลี่หงทันที ไม่นานเขาก็พบว่าที่แท้ในร่างของป๋ายลี่หง มีบางสิ่งที่คอยผนึกยับยั้งปราณแรกกำเนิดเอาไว้! และพลังดังกล่าวยังอ่อนตัวลงทุกขณะ เพราะปราณแรกกำเนิดป๋ายลี่หงเองก็พยายามจะขัดขืน หมายทำลายพลังอำนาจของมัน หากดำเนินไปในรูปแบบนี้ไม่กี่สิบวัน พลังแปลกปลอมดังกล่าวสมควรแพ้พ่ายปราณแรกกำเนิดของป๋ายลี่หงในที่สุด และทำให้พลังของป๋ายลี่หงฟื้นฟู… ‘โอสถผนึกแรกกำเนิด?’ ใจต้วนหลิงเทียนปรากฏชื่อโอสถชนิดหนึ่งขึ้นมาทันที มันเป็นโอสถที่สามารถระงับพลังปราณแรกกำเนิดของขอบเขตเซียนได้… ทว่าเว้นเสียแต่จะถูกบีบบังคับให้กลืนโอสถดังกล่าวลงไป น่ากลัวว่าคงไม่มีใครเผลอกินมันเด็ดขาด นั่นเพราะโอสถตัวนี้มีลักษณะพิเศษประการหนึ่ง ก็คือกลิ่นของมันฉุนอย่างรุนแรง! ต่อให้พยายามอย่างไรก็ยากที่จะกลบกลิ่นของมันได้!! คล้ายๆกับผงผนึกปราณแรกกำเนิด ผงผนึกปราณแรกกำเนิดก็เป็นดั่งชื่อ มันเป็นโอสถชนิดผงที่สามารถผนึกปราณแรกกำเนิดได้ หากแต่กระทำได้แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น อย่างไรก็ตามโอสถผนึกแรกกำเนิดนั้นจะมีอานุภาพรุนแรงกว่า แถมโอสถผนึกแรกกำเนิดยังมีหลายระดับนัก เพื่อใช้กับขอบเขตเซียนในขีดขั้นต่างๆ.. แน่นอนว่าผลของโอสถแรกกำเนิดก็เพียงคงอยู่ในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะปราณแรกกำเนิดเองก็พยายามต่อสู้ต้านทาน ฤทธิ์ยาเองก็เสื่อมถอยลงตามเวลา สุดท้ายถึงจุดหนึ่งมันก็ไม่อาจยับยั้งปราณแรกกำเนิดได้อีก ‘แบบนี้นี่เอง…เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากศิษย์พี่จะตายเพราะการทรมานพวกนี้…’ ทันใดนั้นใบหน้าต้วนหลิงเทียนพลันเต็มไปด้วยโทสะทันที ป๋ายที่หงที่ถูกฤทธิ์ของโอสถผนึกแรกกำเนิด ก็แทบไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา ย่อมไม่อาจทานทนรับการทรมานแบบนี้ได้นาน ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมาใส่ใจสภาพร่างกายของป๋ายลี่หงและฤทธิ์โอสถผนึกแรกกำเนิด ‘จากฤทธิ์ของโอสถนี่ มันทำได้แค่ระงับพลังปราณแรกกำเนิดของเซียนดั้งเดิมเท่านั้น…ตราบใดที่เป็นเซียนขัดเกลา…จริงสิ ปราณสุริยันแรกกำเนิดของข้าสมควรขับมันออกได้! ถึงปราณสุริยันข้าจะอยู่ในขอบเขตเซียนดั้งเดิม แต่พลังอำนาจของมันเหนือกว่าเซียนดั้งเดิมทั่วไปหลายขุม!! เมื่อคิดถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนพลันสว่างวาบขึ้นมาทันใด และไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขาคิดถูก เพียงแค่ใช้ 2 ฝ่ามือประกบแผ่นหลังป๋ายลี่หงเอาไว้ แล้วโคจรปราณสุริยันแรกกำเนิดให้ถ่ายทอดไหลเวียนไปในร่างของป่ายลี่หงไม่ทันไร เขาก็ตระหนักได้ชัดว่าฤทธิ์ของโอสถผนึกแรกกำเนิดที่อยู่ในร่างกายของป๋ายลี่หง เสมือนหนูหวาดแมวทันทีที่พบปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขา! เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็เดินพลังไปทั่วร่างของป๋ายลี่หง ฤทธิ์โอสถก็ถูกปราณสุริยันแรกกำเนิดผลาญจนเป็นไอระเหย ถูกขับออกไปจากตัวป๋ายลี่หงหมดสิ้น และตอนนี้ปราณแรกกำเนิดของป๋ายลี่หงก็ไม่ถูกผนึกยับยั้งสืบไป มันโคจรไปทั่วร่าง ฟื้นคืนพลังอำนาจของเซียนดั้งเดิมให้ป๋ายลี่หงทันที! และเมื่อปราณแรกกำเนิดโคจรในร่างป๋ายลี่หงไม่กี่รอบ คนก็พลันคืนสติขึ้นมา ทว่าใบหน้าแรกที่เห็น กลับเป็นใบหน้าที่มันไม่คุ้นตา “จะ…เจ้าเป็นผู้ใด” “ศิษย์พี่ ข้าเอง!” ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งนึกได้กล่าวตอบพร้อมเปลี่ยนรูปโฉมให้กลับมาเหมือนก่อน “ศิษย์น้อง” เมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียน ป๋ายลี่หงถึงกับโพล่งคำออกมาด้วยความตกตะลึง สองตาเบิกกว้างมองต้วนหลิงเทียนไม่วาง “จะ…เจ้าไฉนมาได้?!” ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำ ป๋ายลี่หงพลันสังเกตเห็นซากศพไร้ศีรษะมากมายที่สร้างสายธารโลหิตย้อมชโลมพื้น…จากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ศพไร้หัวดังกล่าวมี ป๋ายลี่หงย่อมบอกได้ว่าทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้ที่ผลัดกันมาทรมานมัน และมีคนหนึ่งที่มันไม่มีวันลืม…ผู้คุมอาวุโสที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นกลาง และยังเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลราชวงศ์!! “ศะ…ศิษย์น้อง…พวกมัน…ฝีมือเจ้าหรือ?” ป๋ายลี่หงกล่าวถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “อ้า” ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะศิษย์พี่ ข้ามาพาท่านกลับ” “พาข้ากลับ?” หลังได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออก ป๋ายลี่หงอึ้งไปพักหนึ่งค่อยตระหนักได้ว่านี่มันเรื่องอะไร มันเร่งส่ายหัวทั้งกล่าวออกมาทันที “ศิษย์น้องข้ารู้ว่าพลังฝีมือเจ้าร้ายกาจ…แต่ในตระกูลราชวงศ์ยามนี้เต็มไปด้วยยอดฝีมือ ไม่เพียงเซียนดั้งเดิมเกลื่อนกลาด ยังมีกระทั่งขอบเขตเซียนขัดเกลาอันร้ายกาจ! ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมินานมานี้ตระกูลราชวงศ์ยังมีแขกกิตติมศักดิ์ที่น่ากลัวผู้หนึ่ง ลือกันว่ามันบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!” วาจาท้ายประโยค ป๋ายลี่หงเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวทั้งกังวล “เช่นนั้นในขณะที่พวกมันยังมิทันพบตัวเจ้า เจ้าจงรีบหนีไปเถอะ…หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเจ้า ข้าคงมิอาจอภัยให้ตัวเองได้ตลอดชีวิต!” ป๋ายลี่หงพยายามโน้มน้าวให้ต้วนหลิงเทียนรีบหนี ด้วยกลัวจะฉุดลากต้วนหลิงเทียนให้ต้องตกลงทะเลเพลิงขุมนี้ “ศิษย์พี่ ข้าเองก็รู้เรื่องที่เกิดกับประมุขสื่ออวิ๋นแล้ว” ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวออกด้วยรอยยิ้มทั้งประกายตาสดใส “แต่ข้าก็มีเหตุผลบางประการ ที่ทำให้ข้าไม่คิดจะหนีไปหลังจากช่วยท่าน…ศิษย์พี่ หากท่านเชื่อใจข้า ท่านทำตามที่ข้าบอกได้หรือไม่?” “ศิษย์น้องเจ้ากล่าวอันใด มีหรือที่ข้าจะไม่เชื่อใจเจ้า…ว่าแต่วาจาประโยคแรกของเจ้าที่แท้หมายความว่าอะไร ว่ามิคิดหนีไปหลังช่วยข้าได้?” ป๋ายลี่หงได้แต่ถามออกมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ตอนนี้มันรู้สึกสับสนมากขึ้นทุกขณะ อย่างไรก็ตาม พอมันได้ยินคำอธิบายจากต้วนหลิงเทียน ในที่สุดมันก็เข้าใจคำพูดของต้วนหลิงเทียน ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง “ศิษย์น้อง…เจ้าแน่ใจหรือ?” ป๋ายลี่หงสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง ยามมองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สองตาทำราวกับมันพึ่งเคยเห็นต้วนหลิงเทียนครั้งแรก… “ศิษย์พี่ เรื่องนี้ท่านมั่นใจได้เลย ถึงแม้ข้าอาจจะไม่แยแสชีวิตตัวเอง แต่ข้าก็ไม่มีวันเอาชีวิตท่านมาเสี่ยงหรอก!” ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หากแต่ประกายตายามหัวเราะคราวนี้ยังแฝงกลิ่นอายอำมหิตไม่น้อย “เอาล่ะศิษย์น้อง ข้าจะฝากทุกอย่างไว้กับเจ้า!” สุดท้ายป๋ายลี่หงก็เลือกที่จะเชื่อใจต้วนหลิงเทียน หนึ่งเค่อต่อมา ก็ปรากฏร่างชายชราคนหนึ่งก้าวเดินออกมาจากคุกใต้ดินของวังหลวงประเทศฝูเฟิงโต้งๆ เสื้อคลุมของชายชราเต็มไปด้วยคราบเลือดทั้งใหม่เก่าที่แห้งกรัง ทำให้บรรดาผู้คุมคุกใต้ดินทั้งหลายที่พบเห็นตกใจกันไม่น้อย เพราะการที่อยู่ๆ ก็มีชายชราชุดโชกไปด้วยคราบโลหิตแบบนี้ก้าวเดินออกมาจากคุกใต้ดิน ดูอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องปกติ!! “เฮ่ย! นั่นมันมิใช่ป๋ายลี่หงหรอกรึ?!” “แล้วไฉนมันถึงออกมาได้เล่า!?” …… แม้ในคุกใต้ดินจะมีโลหิตเจิ่งนองจนคาวคลุ้ง แต่ด้วยลักษณะของอาคาร ด้านนอกคุกใต้ดินย่อมไม่อาจรับรู้เรื่องราวใดๆที่เกิดขึ้นด้านล่างได้เลย… และเมื่อมันเห็นว่าป๋ายลี่หงยังคงเดินต่อไปไม่คล้ายสนใจอะไร พวกมันก็รีบกรูกันเข้าไปหมายหยุดยั้งอีกฝ่ายทันที ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกมันประหลาดใจก็คือ ชายชราที่สมควรกลืนโอสถผนึกแรกกำเนิดไปแล้ว กลับสามารถใช้ปราณแรกกำเนิด กระทั่งซัดพวกมันจนปลิดปลิวไปไม่เป็นท่าได้ง่ายดาย! “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่!?” จังหวะนี้พวกมันอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกันใหญ่ “บ้าน่าโอสถผนึกแรกกำเนิดมักถูกใช้ทุกๆครึ่งเดือน…และข้ายังจำได้ว่ามันพึ่งถูกบังคับให้กลินโอสถผนึกแรกกำเนิดไปมิถึง 3 วันดี! แล้วไฉนมันถึงใช้พลังได้เล่า!?” เรื่องนี้เหล่าทหารและผู้คุมต่างประหลาดใจกันยกใหญ่ แต่ด้วยความที่พวกมันเป็นแค่ทหารเฝ้ารักษาการณ์ด้านนอกคุก พลังฝึกปรือเลยไม่มีใครบรรลุถึงขอบเขตเซียน ทำให้ไม่กล้าเข้าไปหยุดยั้งป๋ายลี่หงแต่อย่างไร และเมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงเดินออกไปพ้นเขตคุกใต้ดินแล้ว หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะเร่งวิ่งย้อนเข้าไปดูเรื่องราวในคุกใต้ดิน ไม่นานต่างก็พบศพไร้หัวนอนเกลื่อนกลาดโลหิตเจิ่งนองท่วมพื้น ทั้งหมดนั้นพลังฝีมือไม่ใช่ชั่ว…ต่างบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นต้น กระทั่งผู้คุมหรือใต้เท้าฉิวที่เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นกลางก็ตายตก… “ปะ…เป็นไปได้อย่างไร!? มิใช่มันก็แค่เซียนดั้งเดิมขั้นต้นหรือไร?! แล้วมันจักสังหารใต้เท้าฉิวได้อย่างไร…ใต้เท้าฉิวบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นกลางแล้วนี่!?” “บัดซบ! เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามผู้ใดได้…อย่าว่าแต่เรื่องที่ป๋ายลี่หงฆ่าคนอย่างไร ข้าจำได้ว่ามันพึ่งรับโอสถผนึกแรกกำเนิดไปเมื่อ 3 วันที่แล้ว ไฉนปราณแรกกำเนิดของมันจึงไม่ถูกระงับกัน!?” “พวกเรารีบเอาเรื่องนี้ไปรายงานท่านอาวุโสฮั่วเถอะ!” …… ในขณะที่คุกใต้ดินเกิดเรื่องปั่นป่วนครั้งใหญ่ ป๋ายลี่หงก็เดินทอดน่องออกมาอย่างเปิดเผย มันซัดผู้ที่คิดเข้ามาขัดขวางจนปลิดปลิวไปไม่เป็นท่าตามรายทางได้อย่างง่ายดาย และยิ่งมาผู้ที่ปรากฏตัวเข้ามาขัดขวางมันก็ร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกทหารที่กรูกันเข้ามาหมายสกัดมันก็เป็นเพียงผู้ที่ยังไม่บรรลุแม้แต่ขอบเขตเซียน ทว่าไม่นานนัก ก็เริ่มมีขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นต้นปรากฏตัวออกมา กระทั่งยังปรากฏออกมา 3 คนหมายหยุดมัน “ป๋ายลี่หงเจ้าไม่เพียงแต่ปฏิเสธเรื่องสวามิภักดิ์ต่อฝาบาทครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่ยามนี้เจ้ายังคิดหลบหนีออกจากคุกใต้ดินโดยมิได้รับอนุญาต หรือเจ้าคิดจริงๆว่าข้ามิกล้าฆ่าเจ้า?” ในขณะที่เซียนดั้งเดิมขั้นต้น 3 คนกำลังยืนเผชิญหน้าขวางทางป๋ายลี่หงเอาไว้ พลันปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่จะมีร่างชายชราผู้หนึ่งย่ำอากาศลงมาจากฟ้า และชายชราผู้นี้ยังเป็นคนเดียวกันกับคนที่ไปจับตัวป๋ายลี่หงมาจากตระกูลซือถูเมื่อไม่กี่เดือนก่อน! กล่าวให้ชัดชายชราผู้นี้เป็นผู้นำกลุ่มคนที่ไปจับตัวป๋ายลี่หงมา อีกทั้งยังบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด นับว่ามีฐานะตำแหน่งในตระกูลราชวงศ์สูงไม่น้อย! เพียงคิดดูก็สมเหตุสมผล ในตระกูลราชวงศ์ ตัวตนที่มีด่านพลังเซียนขัดเกลานั้นมีแค่หยิบมือ และในโลกที่นับถือพลังฝีมือ มันที่บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด เรียกว่าพลังฝืมือของมันเพียงด้อยกว่าคนไม่กี่คนแต่อยู่เหนือนับหมื่น! เมื่อเห็นชายชราดังกล่าวปรากฏตัวออกมา เซียนดั้งเดิมขั้นต้นทั้ง 3 ที่ขวางป๋ายลี่หงพลันหันมาประสานมือคารวะทักทายทันที “คารวะท่านผู้อาวุโสฮั่ว!” “ฮั่วจิน!” ส่วนป๋ายลี่หงพอเห็นชายชราผู้นี้ สีหน้าพลันซีดลงทันใด ในแววตายังเผยความหวาดกลัวไม่น้อย หากกล่าวว่าวันที่ชายชราคนนี้ไปจับตัวมันมาขังไว้ในคุกใต้ดินของวังหลวงมันยังไม่รู้จักชายชราคนนี้ดีล่ะก็… หลังจากที่มันได้อยู่ในคุกใต้ดินของวังหลวงแล้ว มันก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร… ชายชราคนนี้ไม่เพียงบรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด แต่ยังเป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดที่ร้ายกาจที่สุดในประเทศฝูเฟิง! นั่นหมายความว่าต่อให้เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเช่นกัน ก็ไม่มีผู้ใดต่อกรกับชายชราผู้นี้ได้! “ป๋ายลี่หงข้าอุตส่าพาคนไป ‘เชิญ’ เจ้ามาดีๆ แต่มิคิดเลยว่าจักเป็นข้าที่ประเมินเจ้าต่ำไป…แม้ข้าจักมิรู้ว่าเจ้าเดินออกมาโต้งๆเช่นนี้ได้อย่างไร แต่เจ้ากลับกล้าทำร้ายคนของราชวงศ์ฝูเฟิงอย่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี! นับว่าเจ้ามันช่างกล้านัก!!” สิ้นวาจาด้วยโทสะ ร่างฮั่วจินก็วูบตัดระยะ มาหยุดอยู่ไม่ไกลจากป๋ายลี่หง “แย่แล้ว! ใต้เท้าฉิว…นายน้อยฉิวตายแล้ว!!” ทันใดนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวาย ดังก้องมาจากทิศทางของคุกใต้ดินที่ป๋ายลี่หงเดินจากมา “อะไรนะ!?” ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจทั้งเสียขวัญดังกล่าว ทุกผู้คนในที่นี้พลันหันไปมองฮั่วจินเป็นสายตาเดียวกัน เท่าที่พวกมันทราบใต้เท้าฉิวที่ว่าก็คือ ฮั่วฉิว …หลานชายคนเดียวของฮั่วจิน! ในตระกูลราชวงศ์นั้นมีเพียงฮั่วฉิวเท่านั้นที่ทุกผู้คนเรียกหาว่า นายน้อยฉิว! ฟุ่บบ! ท่ามกลางสายตาผู้คน ฮั่วจินพลันวูบร่างไปดั่งพายุพัด พริบตาก็บรรลุถึงทหารเฝ้าหน้าคุกใต้ดิน ที่ร้องโวยวายมาแต่ไกล “อะ…อาวุโสฮั่ว” มันเป็นแค่ทหารยามธรรมดา อยู่ๆมาพบหน้ากับอาวุโสระดับสูงอย่างฮั่วจิน มันย่อมหวาดกลัวทั้งถูกพลังสภาวะอันน่าเกรงขามของอีกฝ่ายสะกดข่มจนขวัญกระเจิง ทำอะไรไม่ถูก อย่างไรก็ตามเมื่อทหารยามคนนั้นแลเห็นป๋ายลี่หง มันก็ร่ำร้องออกมาด้วยความตกใจทันที “มัน! เป็นมัน! มันเป็นคนฆ่าใต้เท้าฉิวขอรับท่านอาวุโสฮั่ว!!”
คอมเม้นต์