War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 1510
ทำภารกิจต่อไป เยี่ยหมานแม้จะเป็นผู้ฝึกมารที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนถูกจิตมารครอบงำกลายเป็นมารร้าย จนมีพลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก แต่จะอย่างไรสุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ ว่ากันตามจริงมันไม่ควรหลบหนีไปภายใต้เงื้อมมือของอาวุโสฝ่ายนอกได้เลย! ยิ่งไปกว่านั้นเยี่ยหมานยังคุ้มคลั่งฆ่าศิษย์ฝ่ายนอกไปนับสิบชีวิต เรื่องนี้เกรงว่ากระทั่งอาวุโสตงฟางก็จำต้องออกโรง! ตงฟางเฉียนคนนี้ ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายสมควรทัดเทียมกับอาวุโสฝ่ายใน…หากลงมือด้วยตัวเอง แล้วเยี่ยหมานจะรอดไปได้อย่างไร? “เห็นว่ามันใช้ ลี้โลหิต น่ะ” ป๋ายลี่หงกล่าว “ลี้โลหิต?” ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด เขารู้ว่า ‘ลี้โลหิต’ คืออะไร “ลี้โลหิตนั่นมันวิชาหลบหนีของผู้ฝึกมารที่บรรลุถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นไปนี่นา…งั้นเยี่ยหมานนั่นมันก็ตัดผ่านมาถึงขอบเขตสู่เซียนแล้วงั้นสิ” ต้วนหลิงเทียนตกใจอยู่บ้าง ความเร็วของผู้ฝึกมารขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นยามใช้ลี้โลหิต น่ากลัวว่าจะระเบิดความเร็วทัดเทียมกับขอบเขตเซียนได้! อย่างไรก็ตามวิชาลับอย่างลี้โลหิตนี้ แม้จะสามารถระเบิดความเร็วสูงล้ำเกินขีดจำกัดออกมาได้ แต่ผลกระทบหลังจากนั้นก็ร้ายแรงนัก ดังนั้นถึงแม้เยี่ยหมานจะเป็นผู้ฝึกมารที่พึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียน ทว่าหลังจากใช้ลี้โลหิตไป เกรงว่าคงไร้ผู้ใดที่ยังไม่บรรลุขอบเขตเซียนจะรั้งตัวมันเอาไว้ได้ “เห็นว่าเยี่ยหมานคนนั้นก็เข้าสำนักมาพร้อมกันกับเจ้าหรือศิษย์น้องต้วน…” ป๋ายลี่หงถอนหายใจ “ข้ามิคิดเลยว่า ศิษย์สำนักที่พึ่งเข้ามาใหม่รุ่นนี้ ยังมีใครที่มีความสามารถร้ายกาจขนาดนี้นอกจากเจ้าอยู่อีก…น่าเสียดายที่มันสังหารพี่น้องร่วมสำนักไปมากมาย ข้าเกรงว่าหลังจากนี้สำนักคงมิยอมรับมันอีกแล้ว” “นอกจากนั้นหลังจากที่มันใช้ลี้โลหิตไป เกรงว่าศักยภาพของมันคงถดถอยลงไปมาก” ป๋ายลี่หงกล่าว วิชาลับลี้โลหิต ชั่วชีวิตใช้ออกได้เพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น อีกทั้งการใช้งานครั้งที่ 3 นั้น ก็ต้องทำให้ตัวผู้ใช้ต้องตาย! ดังนั้นแล้วผู้ฝึกมารทั่วไป ชั่วชีวิตจะใช้ลี้โลหิตเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น หากไม่อยากตาย อีกทั้งทุกครั้งที่ใช้งาน มันก็มีผลข้างเคียงอันใหญ่หลวงนัก! ผลข้างเคียงที่ว่าไม่เพียงส่งผลกระทบถึงอายุขัย กระทั่งการบ่มเพาะในอนาคตก็ได้รับผลกระทบไปด้วย! “ข้าเกรงว่าครานี้ตงฟางเฉียนคงยากจะมีคำอธิบายให้เจ้าสำนักได้แล้ว…” ป๋ายลี่หงส่ายหัวกล่าวพึมพำเบาๆ อย่างไรก็ตามในฐานะที่ทะลวงเปิดจุดชีพจรเซียนหรือชีพจรฟ้าดินได้ครบทั้ง 99 จุด โสตประสาทรับฟังของต้วนหลิงเทียนสามารถได้ยินเสียงพึมพำของป๋ายลี่หงชัดเจน เรื่องนี้เขาเองก็พอเข้าใจได้ ตงฟางเฉียนไม่ว่าจะอย่างไร ฐานะของอีกฝ่ายก็คืออาวุโสสูงสุดฝ่ายนอก มีหน้าที่ควบคุมดูแลเรื่องราวในฝ่ายนอกทั้งหมด เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ภายใต้ภาระหน้าที่ความดูแลของมันโดยตรง เกรงว่ายากจะรับผิดชอบเรื่องราวได้ไหวหากไม่อาจจับเยี่ยหมานกลับมาได้ “ศิษย์น้องต้วน เรื่องที่เยี่ยหมานใช้ลี้โลหิตหลบหนีไปได้เจ้าอย่าได้เอาไปบอกผู้ใดเด็ดขาด…ตอนนี้พวกอาวุโสคงประกาศว่าจับตัวเยี่ยหมานได้แล้ว และจะทำการประหารชีวิตในอีกมิกี่วัน” ป๋ายลี่หงกล่าว “ข้าเข้าใจดี” ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ถึงแม้ป๋ายลี่หงจะไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าไฉนกล่าวแบบนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนคาดเดาเรื่องราวได้กระจ่าง ไม่มีอะไรมากไปกว่าเหล่าอาวุโสกลัวว่าเรื่องที่เยี่ยหมานหลบหนีไปได้ จะสร้างความหวาดกลัวให้แก่เหล่าศิษย์ฝ่ายนอก ทำให้ทุกผู้คนตกอยู่ในความระส่ำระสาย หากประกาศว่าจับตัวเยี่ยหมานมาลงโทษได้แล้ว ย่อมสามารถระงับความหวาดกลัวของศิษย์ทั้งหลายได้ 3 วันหลังจากนั้นสำนักจันทร์จรัสแสงก็ประกาศเรื่องการประหารชีวิตของเยี่ยหมานออกมาให้ทั้งสำนักรับทราบ วันประหารเอง ต้วนหลิงเทียนเองก็มาร่วมชมด้วย พอเห็น ‘เยี่ยหมาน’ ที่ถูกจับมัดอยู่บนลานฝึกซ้อมฝ่ายนอก ท่ามกลางการมุงล้อมของผู้คนจำนวนมาก เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ‘การแปลงโฉมนี่นับว่าน่าประทับใจไม่น้อย ทำได้เหมือนเยี่ยหมานตัวจริงนัก! ถ้าข้าไม่รู้มาก่อนว่าเยี่ยหมานหนีไปได้แล้ว น่ากลัวว่าข้าเองก็ต้องคิดว่ามันคือเยี่ยหมานตัวจริง!’ “มันน่ะเหรอเยี่ยหมาน? ผู้ฝึกมารที่ฆ่าศิษย์ฝ่ายนอกไปถึง 23 ชีวิต!” “ผู้ฝึกมารนั้นเสมือนดั่งระเบิดเวลาชัดๆ…ในความคิดของข้าสำนักควรตรากฏห้ามมิให้ผู้ฝึกมารเข้าร่วมสำนักได้แล้ว!” “ใช่! ตราบใดที่สำนักตรากฏนี้ พวกเราก็ขจัดปัญหาร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นแบบนี้ได้อย่างถาวร!” …… ศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงสนทนากันเสียงดังเซ็งแซ่ กระทั่งศิษย์ฝ่ายในเองยามกล่าวถึงเรื่องพวกนี้ก็เผยความหวาดหวั่นไม่น้อย “เฮอะ! พวกเจ้าจะอคติกับผู้ฝึกมารเกินไปแล้ว! เป็นผู้ฝึกมารแล้วจะอย่างไร? พวกเจ้าดูข้าเถอะ ร้อยวันพันปีมีผู้ใดเคยเห็นข้าธาตุไฟเข้าแทรกคุ้มคลั่งไล่ฆ่าผู้คนบ้าง? นอกจากนี้พวกเจ้าก็อย่าได้ลืมเลือนไป ว่ามีผู้ฝึกมารสองคนที่บรรลุขอบเขตเซียนอยู่ในสำนักของเราตั้ง 2 คน…พวกเจ้าจะขับไล่ท่านทั้ง 2 ไปด้วยเลยหรือไม่เล่า?” ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกมารพอได้ยินเรื่องราว ก็กล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ ทันใดนั้นศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงที่ได้ยินและบ่นอยู่ก่อนหน้าก็พากันเงียบปากหมด ถูกแล้ว ในสำนักมีผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนถึง 2 คน… เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักจะตรากฏห้ามผู้ฝึกมารเข้าร่วมสำนัก ฉากเรื่องราวต่อมาก็เป็นอะไรที่รวบรัดนัก หนึ่งในอาวุโสคุมกฏของสำนักจันทร์จรัสแสง ลงมือตัดหัวเยี่ยหมานด้วยตัวเอง หลังจากประหารเยี่ยหมานแล้ว อาวุโสคุมกฏคนนั้นก็ว่ายตามองไปรอบๆ “สำนักเรามิเคยเลือกปฏิบัติต่อผู้ฝึกมาร เพราะพวกเราเห็นถึงคุณค่าพลังฝึกปรือที่ก้าวหน้ารวดเร็ว…อย่างไรก็ตามผู้ฝึกมารก็คือผู้ฝึกมารวันยังค่ำ เรื่องนี้เสมือนดาบ 2 คมสำหรับสำนักจันทร์จรัสแสงของพวกเรา!” “หากทว่าสำนักจันทร์จรัสแสงของพวกเราก็ใช้ดาบ 2 คมนี้มาได้ด้วยดีโดยตลอด จนเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมอย่างเยี่ยหมานโผล่ขึ้นมา!” ได้ยินวาจาของผู้อาวุโสคุมกฏ หนังตาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหย่อนขึ้นมาทันที วาจาปราศัยอีกฝ่ายเป็น ‘ทางการ’ เกินไป จนเขาถึงกับเกิดอาการง่วงนอนขึ้นมา วาจาประโยคต่อมาของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็พอเดาได้ ไม่พ้นคงกล่าวเตือนผู้ฝึกมารทั้งหลาย ให้เรื่องระวังการบ่มเพาะพลังอะไรทำนองนั้น “คราวนี้ข้าอยากขอความร่วมมือจากผู้ฝึกมารทุกคน ไม่ว่าจะฝ่ายในหรือฝ่ายนอก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ธาตุไฟเข้าแทรกจนจิตมารครอบงำร่างเช่นนี้อีก ยามเจ้าบ่มเพาะถึงจุดสุ่มเสี่ยง ขอให้ออกจากสำนักไปบ่มเพาะพลังห่างจากผู้คนเสีย…ทั้งหมดจงดูเยี่ยหมานเอาไว้เป็นตัวอย่าง! อย่าให้ข้าเห็นว่ามีใครคุ้มคลั่งขึ้นมาอีก!!” ดั่งที่ต้วนหลิงเทียนคาดเอาไว้ อาวุโสคุมกฏกล่าวเรื่องข้อควรระวังต่อผู้ฝึกมารจริงๆ ความหมายของมันก็ง่ายดายนัก หากผู้ฝึกมารที่รู้สึกว่าการบ่มเพาะพลังเริ่มส่อเค้าว่าจะมีปัญหา ก็ให้พาตัวไปให้ห่างผู้คนซะ! คราวนี้ต่อให้ท่านคุ้มคลั่งหรือเป็นบ้าอะไร ก็ไม่มีทางพลั้งมือทำร้ายพี่น้องจนตกตาย เพราะหากผู้ฝึกมารคุ้มคลั่งฆ่าพี่น้องขึ้นมา สำนักเพียงเหลือแต่หนทางตายให้เท่านั้น! ต้องกล่าวเลยว่าวาจาของอาวุโสคุมกฏนั้นมีประสิทธิภาพไม่น้อย ผู้ฝึกมารทั้งหลายพยักหน้ารับฟังอย่างจริงจัง มีเยี่ยหมานให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างแล้ว พวกมันย่อมไม่อยากเจริญรอยตาม คดีของเยี่ยหมานก็สิ้นสุดลงเท่านี้ สำนักจันทร์จรัสแสงหวนคืนสู่ความปกติอีกครา ด้วยสถานะของป๋ายลี่หงในสำนักจันทร์จรัสแสง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับป้ายศิษย์ฝ่ายในทั้งมีคนทำเรื่องขึ้นทะเบียนให้เสร็จสรรพในเวลาไม่ถึงวัน ต้วนหลิงเทียนได้เป็นศิษย์ฝ่ายในอย่างเป็นทางการ และได้มาอยู่ในคฤหาสน์ส่วนตัวของป๋ายลี่หง เนื่องจากสถานะของป๋ายลี่หง แม้ต้วนหลิงเทียนจะพึ่งได้เป็นศิษย์ฝ่ายในไม่ทันไร แต่ก็ไม่มีใครกล้ามีเรื่องราวกับเขา วันต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างจริงจัง ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศอย่างหิวกระหาย รวมถึงดูดซับพลังจากหินเซียนอีกทาง เพิ่มพูนพลังฝึกปรือ เขาต้องการทะลวงไปยังสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญให้เร็วที่สุด เมื่อเขาทะลวงไปถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญ นั่นหมายความว่าเขาจะสามารถใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้ ถึงตอนนั้นพลังฝีมือของเขาจะก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะประสิทธิภาพในการสู้รบจะสูงล้ำขึ้น! ‘ทันทีที่ข้าทะลวงถึงสู่เซียนขั้นเชี่ยวชาญและใช้ปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตราได้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบที่แข็งแกร่งที่สุดข้าก็สามารถเอาชนะมันได้! แต่กับสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่นั่นยังไม่แน่นัก เพราะอย่างไรพวกมันก็มีเขตแดนจากการรวมปราณ…’ ปราณแท้ก่อเขตแดนนั้น ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าร้ายกาจเพียงใด นักฆ่าที่ต้วนหลิงเทียนสงสัยว่าน่าจะเป็นคนของตลาดมืดหยินชาน มันก็ได้ใช้เขตแดนปีศาจโลหิตกับเขา ซึ่งเป็นอะไรที่ปราบเขาได้ทุกทาง แม้จะใช้ยันต์เต๋า 3 ดาวต่อกรก็เป็นอะไรที่ลำบากนัก ในเขตแดนปีศาจโลหิตนั้น ปีศาจโลหิตที่มันสร้างขึ้นมาแต่ละตัว ก็มีพลังน่ากลัวเหลือเกิน ‘ไม่รู้ว่าพอข้าทะลวงถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ เขตแดนของข้าจะปรากฏออกมาในรูปแบบไหน…’ ในเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความคาดหวัง หากบอกว่าปราณแท้ก่อลักษณ์ศาสตรา กับปราณแท้ก่อลักษณ์สรรพสัตว์นั้น สามารถเลือกได้ว่าจะให้เป็นแบบใด ทว่าปราณแท้ก่อเขตแดนนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับศักยภาพและพรสวรรค์ เรียกว่าเป็นสิ่งที่สวรรค์จะประทานมาให้แต่ละคน เหมือนกับนักฆ่าในชุดคลุมลมดำผู้นั้น สวรรค์ก็เลือกเขตแดนปีศาจให้แก่มัน ซึ่งเป็นอะไรที่เหมาะสมกับตัวมันที่สุด ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังบ่มเพาะฝึกฝนในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย หลิวฮ่วนก็ได้บรรลุถึงเมืองหานเหอ และไปเยือนคฤหาสน์ที่เป็นฐานปฏิบัติการของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตรอีกครา มันมาที่นี้ด้วยจุดประสงค์อันเรียบง่ายนัก คิดไถ่ถามว่าภารกิจที่มันจ้างไปล้มเหลวแล้วจริงๆหรือไม่? แล้วหลังจากภารกิจล้มเหลวแล้วตลาดมืดหยินชานคิดจัดการอย่างไร “มันล้มเหลวจริงๆหรือ?” ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจพร้อมรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่พอทราบว่าภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียนที่มันว่าจ้างไปล้มเหลวจริงๆ ใบหน้าหลิวฮ่วนที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากก็อดไม่ได้ที่จะเคร่งขรึม “ลูกค้าผู้มีเกียรติ พวกเราทำภารกิจของท่านล้มเหลวจริงๆ ด้วยเพราะพวกเราประเมินฝีมือของเป้าหมายที่ท่านกำหนดเอาไว้ต่ำเกินไป…พวกเราจะคืนเงินที่ท่านชำระไว้กับพวกเรากลับไปให้ท่าน 2 เท่า!” สีหน้าคนของตลาดมืดหยินชานที่รับเรื่องหลิวฮ่วน เผยความรู้สึกผิด กล่าววาจาขอโทษหลิวฮ่วนอย่างจริงใจ กล่าวอีกอย่างได้ว่า หากหลิวฮ่วนใช้หินเซียนระดับ 6 จำนวน 10,000 ก้อนเพื่อซื้อชีวิตต้วนหลิงเทียน มันจะได้รับหินเซียนระดับ 6 ที่จ่ายไปกลับมา และยังได้รับเพิ่มอีก 10,000 ก้อน อย่างไรก็ตามหลิวฮ่วนไม่ได้ยินดีมีสุขกับเรื่องนี้เลย “แล้วจะเป็นอย่างไร หากข้าคิดจ้างให้พวกท่านกระทำภารกิจนี้ต่อไป?” หลิวฮ่วนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง ตอนนี้ใจมันคิดแค่ว่า คนที่ตลาดมืดหยินชานส่งไป น่าจะมีพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าที่ควรจะเป็น “หากท่านลูกค้าต้องการให้พวกเราดำเนินภารกิจของท่านต่อ ท่านมิต้องจ่ายเพิ่มอันใด เพียงแต่ต้องให้เวลาพวกเราตรวจสอบเป้าหมายให้แน่ชัดอีกสักพัก” คนของตลาดมืดหยินชานกล่าว “ตกลง! ข้าอยากให้พวกท่านดำเนินภารกิจต่อไป…ข้าหวังว่าคราวนี้พวกท่านจะส่งมือดีที่ร้ายกาจกว่าเดิมไปจัดการ อย่าได้ทำให้ข้าผิดหวังอีก” วาจาท้ายประโยคของหลิวฮ่วน เผยความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย “ท่านลูกค้าโปรดวางใจ ตลาดมืดหยินชานของพวกเราจักไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังซ้ำสอง” คนของตลาดมืดหยินชานรับคำเป็นมั่นเหมาะ หลังจากหลิวฮ่วนจากไป ภายในห้องหนึ่งของคฤหาสน์อันเป็นฐานของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร ก็ปรากฏระดับสูง 2 คนมารวมตัวกันหารือเรื่องภารกิจของหลิวฮ่วน ระดับสูงทั้งสองได้แก่ ไท่หวู่ กับ หยินหยาง หยินหยางนั้นเป็นผู้ดูแลเรื่องราวทั่วไปในตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร เรื่องราวทั่วไปในแต่ละวันเป็นมันที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อย ไท่หวู่นั้นเป็นดั่ง ‘ไพ่ลับ’ ของตลาดมืดหยินชานสาขา 9 พันธมิตร อีกฝ่ายมักเทียวไปเทียวมาระหว่างตลาดมืดหยินชานสาขาอื่นกับสาขา 9 พันธมิตร เร็วๆนี้มันก็พึ่งถูกโยกย้ายให้มาประจำที่เมืองหานเหอ ไท่หวู่คนนี้ ยังเป็นยอดฝีมือของตลาดมืดหยินชาน ที่เคยสังหารอดีตผู้นำสำนักยันต์ลี้ลับมาก่อน!
คอมเม้นต์