War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 3033

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 3033 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

WSSTH ตอนที่ 3,033 : นิ่งสงบ ไม่หวั่นไหว
 
 
“เจ้าบอกเสี่ยวเฟิงไป ว่าข้ามิอยากให้พวกเจ้าทั้งคู่เข้าร่วมขุมกำลังเดียวกัน…แยกกันอยู่ประเสริฐกว่า”
 
ทันใดนั้นหวงเอ้อพลันกล่าวกับต้วนหลิงเทียนขึ้นมา “นั่นเพราะหากพวกเจ้าอยู่ร่วมกัน พวกเจ้ามิพ้นต้องพึ่งพาอาศัยกันโดไม่รู้ตัวเรื่องนี้อาจส่งผลต่อการเติบโตของพวกเจ้า แยกกันอยู่ย่อมขัดเกลาตัวเองได้มากกว่า”
 
เห็นได้ชัดว่าหวงเอ้อ ไม่ต้องการให้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าร่วมขุมกำลังเดียวกัน ด้วยเหตุผลเรื่องการเติบโตก้าวหน้า
 
“อันที่จริง ถึงตอนนี้ข้ากับมันจะแยกกัน แต่สุดท้ายไม่วายพวกเราต้องได้ไปเจอกันที่คฤหาสน์เฉวียนโยวอยู่ดี…แต่เจ้าก็พูดถูก อย่างน้อยๆก่อนที่จะไปคฤหาสน์เฉวียนโยว หากพวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรพวกเราก็ต้อง เผชิญหน้าและจัดการด้วยตัวเอง ย่อมมีแรงผลักดันมากกว่า”
 
ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำแนะนำของหวงเอ้อก็เห็นด้วย สุดท้ายจะเลือกจะส่งผ่านวาจานางไปถึงหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
 
ตอนนี้หวงเอ้อได้อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียนแล้ว นางย่อมไร้หนทางสื่อสารกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นโดยตรง
 
“…เจ้าช่วยบอกพี่หญิงหวงเอ้อด้วย ว่าข้าเข้าใจแล้ว”
 
แม้สีหน้าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะแลดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ยอมรับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดขัดคำของหวงเอ้อ
 
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าขอให้ผู้ที่ได้ 3 อันดับแรกในตาราจัดอันดับก้าวออกมา และผู้ที่นำพา 3 อันดับแรกที่ว่าก็ก้าวออกมาด้วย”
 
จ่างซุนฉงฉีที่เหินร่างไปยังอากาศว่างเปล่าทิศทางหนึ่งเอ่ยออกเสียงดัง ขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปทางหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียน และมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว
 
จากนั้นทั้ง 3 ก็เหินไปหยุดลอยร่างกลางอากาศเบื้องหน้ามัน
 
ขณะเดียวกันนก็มีอีก 3 ร่างเหินออกมาจากกลุ่มคน เป็นหูหลินอี้ฮ่องเต้ฝูชิว ฮ่องเต้ประเทศตงหมิง แล้วก็ผู้อาวุโสตระกูลมู่หรง
 
จากนั้นจ่างซุนฉงฉี ก็บอกให้พวกต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก้าวออกมาเพื่อรับรางวัล
 
คนคู่แรกที่ออกไปรับรางวัลก็คือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นและฮ่องเต้ตงหมิง และของรางวัลที่ว่าก็มีแค่แหวนพื้นที่วงเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ด้านในจะมีอะไร ก็เกรงว่าจะมีแค่ทั้งสองคนที่ได้รับไปเท่านั้นที่ล่วงรู้
 
อย่างไรก็ตาม ทุกคนเห็นชัดว่าหลังฮ่องเต้ประเทศตงหมิงได้รับแหวนพื้นที่ดังกล่าวมา แววตามันก็ลุกวาวสว่างวาบ ลมหายใจกลับกลายเป็นถี่รัว มุมปากฉีกยิ้มร่าอย่างยากจะหุบ ก็ไม่ยากที่ผู้คนจะคาดเดาได้ว่าของที่มันได้รับต้องมีค่ามหาศาลแน่ๆ
 
จากนั้นสายตาอิจฉาริษยามากมายก็รุมจ้องไปยังฮ่องเต้ประเทศตงหมิงทันที
 
แน่นอนว่าเจ้าของสายตาเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนจากขุมกำลังระดับ 8 ไม่ว่าจะประเทศอื่นๆก็ดี ตระกูลหรือพรรคสำนักนิกายกก็ดี สำหรับขุมกำลังระดับ 7 ทั้งหลายไม่ได้แยแสอะไรเท่าไหร่
 
เนื่องเพราะของรางวัลที่ทำให้ผู้นำขุมกำลังระดับ 8 ออกอาการลิงโลด พอไปอยู่ในมือขุมกำลังระดับ 7 แล้ว ก็ไม่อาจนับเป็นอะไรได้
 
“จึกๆ…ฮ่องเต้หมิงผู้นั้น ทั้งๆที่เป็นผู้นำประเทศระดับ 8 ที่สมควรรักษาภาพพจน์อันน่าเกรงขามเอาไว้เสมอ แต่ไม่คิดเลยว่ามันยังมิอาจสำรวมสู้ชายหนุ่มอายุไม่ถึง 100 ปีได้!”
 
หลังเห็นอาการลิงโลดของฮ่องเต้ตงหมิง ฮ่องเต้ของประเทษระดับ 8 มากมายก็เริ่มหัวเราะออกมา
 
เหตุผลที่ไฉนพวกมันกล่าวแซวเรื่องนี้ นั่นเพราะหลังรับแหวนพื้นที่มาแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังคงสงบนิ่งไม่หวั่นไหว ราวกับไม่เห็นสิ่งของในแหวนเป็นจริงจังอะไร
 
เป็นที่ทราบกันดีว่าของรางวัลที่ผู้ชนะอันดับ 1 กับผู้แนะนำได้รับจ่างซุนฉงฉี ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย และสิ่งของที่ได้ก็คล้ายๆกัน
 
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงกล่าวชื่นชมหลิงเจวี๋ยอวิ๋นว่ารักษาอาการได้ดีกว่าฮ่องเต้ตงหมิง
 
“ฮ่าๆๆ ก็ข้าดีใจนี่นา พวกเจ้าไม่ได้เองไม่มีวันรู้หรอก!!”
 
เมื่อถูกฮ่องเต้ของประเทศระดับ 8 ทั้งหลายกล่าวแซวด้วยเสียงหัวเราะ ฮ่องเต้ตงหมิงหาได้นำพาไม่ กระทั่งยังหัวเราะพลางกล่าวออกมาอย่างสนุกสนาน ด้วยรู้ดีว่าที่คนกล่าวแซวออกมา ล้วนแล้วแต่าอิจฉามันทั้งสิ้น!
 
อย่างไรก็ตาม หลายคนยังประหลาดใจกับความสงบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่น้อย
 
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้ไม่ต้องกล่าวถึงศักยภาพพรสวรรค์หรือไหวพริบปฏิภาณและเชาว์ปัญญาอันใด อาศัยคนยังนิ่งสงบไม่หวั่นไหวไปกับสมบัติเช่นนี้ได้ รอให้มันเติบโตขึ้นไป ในภายภาคหน้าไม่พ้นต้องกลายเป็นยอดอัจฉริยะของแดนสวรรค์ใต้เราแน่!”
 
เหิงฉาน จากนิกายอมตะอวิ๋นไถ มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลางกล่าววออกมา ลูกตามันฉายชัดถึงความชื่นชม
 
มันลองถามตัวเองดู ว่าหากตอนที่มันรั้งอยู่ขอบเขตอดเซียนอมตะแล้วได้รับรางวัลอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแบบนี้ยังจะนิ่งได้แบบนั้นไหม ก็ตอบได้ทันทีว่าไม่!
 
“อันใดเหิงฉาน เจ้าสนใจเจ้าหนุ่มนี่งั้นรึ?”
 
ปี้ไห่หมิงเฟิงหันไปมองเหิงฉานพลางถาม
 
“ย่อมสน”
 
เหิงฉานเองก็ตอบกลับตรงๆอย่างไม่คิดจะปิดบัง “หากมันยินดีเข้าร่วมกับนิกายอมตะอวิ๋นไถของเรา ทางนิกายย่อมยินดีทุ่มเททรัพยากรเพื่อสนับสนุนมันอย่างเต็มที่ แม้วันหน้ามันจะถูกลิขิตให้ออกจากนิกายอมตะอวิ๋นไถไปยังคฤหาสน์เฉวียนโยวก็ตาม”
 
“นิกายอมตะอวิ๋นไถของพวกเรา เมื่อพบพานผู้มีวาสนาโชคชะตาร่วมกันแล้ว ย่อมยินดีที่จะสานไมตรีอันดีไว้!”
 
กล่าวถึงจุดนี้ เหิงฉานก็พนมมือขึ้น สองตาที่มองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นต่อไปอีกครู่หนึ่งก็เริ่มหลับลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
 
“เหิงฉาน…เจ้าลาหัวโล้นนี่ทำเป็นพูดดีไป! เจ้าหนุ่มนี่วันหน้าหากเติบโตขึ้นก็เสมือนถูกลิขิตให้เป็นตัวตนอันโดดเด่นของแดนสวรรค์ใต้ ที่นิกายอมตะอวิ๋นไถเจ้าคิดช่วยเหลือสนับสนุนมันเต็มที่ มิใช่คิดเพาะสร้างบุญคุณ เพื่อที่วันหลังมันจะได้ตอบแทนพวกเจ้ากลับหรือไร? สุดท้ายก็ทำเพื่อผลประโยชน์ล้วนๆ ยังจะยกอ้างเรื่องวาสนาโชคชะตาร่วมกันทำมะเขืออันใด!!”
 
จางกวงเจิ้งแห้งนิกายอมตะเป้าผู่มองเหิงฉานด้วยสายตาเหยียดๆ และกล่าวออกมาตรงๆเพื่อทำลายวาจาดีๆของเหิงฉาน “เช่นนั้นต่อหน้าเรา อย่าได้ทำเป็นมีคุณธรรมสูงส่งและมีเมตตาอันใด…คิดว่าพวกเราไม่รู้ความคิดลาหัวโล้นเจ้ารึ?”
 
เมื่อเห็นว่าจางกวงเจิ้งไม่ได้ไว้หน้าเหิงฉานแม้แต่น้อย กล่าวแขวะออกมาตรงๆ กงหยางอวี่ที่ลอยอยู่ข้างๆแม้จะรู้สึกขบขันจนอยากหัวเราะ แต่มันก็ไม่กล้าหัวเราะออกมา
 
สำหรับปี้ไห่หมิงเฟิง แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แต่สายตาที่เหลือบมองเหิงฉานตอนนี้ ยังฉายความระอาไม่น้อย
 
แต่เป็นธรรมดาว่าจะปี้ไห่หมิงเฟิงก็ดี หรือจางกวงเจิ้งก็ดี ล้วนถูกใจความนิ่งสงบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่น้อย
 
หากพวกมันล่วงรู้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ หรือแม้แต่อุปกรณ์เทพล่ะก็ พวกมันคงไม่มีวันคิดแบบนี้แน่
 
ผู้ที่มีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิหรือแม้แต่อุปกรณ์เทพไว้ในครอบครอง กับสิ่งของด้อยคุณภาพกว่ามากที่ 3 นิกาย 2 ตระกูลมอบให้ แม้มันจะมีประโยชน์อู่บ้าง แต่ไหนเลยจะทำให้เสียอาการหรือดีใจจนออกหน้าออกตาได้?
 
ต่อมา
 
หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับฮ่องเต้ตงหมิงได้รับรางวัลแล้ว ต่อไปก็เป็นตาต้วนหลิงเทียนกับฮ่องเต้ฝูชิวออกไปรับแหวนพื้นที่กันมาคนละวง
 
ด้านหูหลินอี้ หลังได้รับแหวนมาและส่องภายในดู สีหน้ามันก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แววตาฉายชัดถึงความตื่นเต้น
 
เรียกว่าจังหวะนี้ เสมือนมันลืมเลือนการตายของลูกชายประเสริฐอย่างหูจี้หย่งไปหมดสิ้น!
 
ต้วนหลิงเทียนที่ส่องภายในชมดูสิ่งของในแหวน ก็พบว่าไม่มีอุปกรณ์อมตะระดับราชาแม้แต่ชิ้นเดียว มีแค่ยันต์อมตะจำนวนหนึ่ง กับโอสถเพียงไม่กี่ขวดเท่านั้น
 
แน่นอนว่าข้างๆยันต์อมตะเหล่านั้น ยังมียันต์อมตะเก็บความทรงจำอยู่ด้วย พอสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนถ่ายทอดลงไปเพื่อตรวจสอบ ก็พบได้ทันทีว่ายันต์อมตะเก็บความทรงจำเหล่านี้บันทึกเรื่องราวอะไรเอาไว้
 
‘ยันต์อัสนีบาตพิฆาต ประกอบไปด้วยความลึกซึ้งแห่งกฏสายฟ้า 2 ประการ ผู้สร้างยังเป็นราชาอมตะ หากใช้งานถูกจังหวะกระทั่งขุนนางอมตะไม่ก็อาจรอด…’
 
‘ยันต์สารทพิรุณ ประกอบไปด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งไม้ 2 ประการ สร้างขึ้นโดยราชาอมตะเช่นกัน เมื่อบดขยี้ใช้งานจะฟื้นฟูรักษาอาการบดาเจ็บทั่วร่างผู้ใช้ในเวลาอันสั้น..’
 
‘ยันต์เงาว่างเปล่า…’
 
……
 
ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่ว่า ที่แท้ก็มีไว้แนะนำยันต์อมตะแผ่นต่างๆที่เก็บไว้ในแหวนนั่นเอง และยังมียันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า ที่ต้วนหลิงเทียนเคยใช้อีกด้วย
 
ยันต์เงาว่างเปล่านั้น เป็นยันต์หลบหนีที่ใช้กันทั่วไป แม้แต่ที่พื้นที่ชายแดนก็ยังมี
 
แต่ยันต์อมตะชนิดอื่นๆ ในพื้นที่ชายแดนนับว่ายากจะพบพาน
 
‘พวก 3 นิกาย 2 ตระกูลไม่ได้มอบอุปกรณ์อมตะระดับราชาอะไรให้ข้าเลย แต่เลือกจะมอบพวกยันต์เหล่านี้ให้กับข้าอย่างเดียว…ไม่พ้นคงคิดคำนวณมาแล้ว ว่าข้าที่รอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ คงไม่ขาดอุปกรณ์อมตะระดับราชา’
 
รางวัลในแหวนพื้นที่นั้น เห็นได้ชัดว่ามีแต่ยันต์อมตะประเภทต่างๆ กับโอสถอมตะที่จำเป็นต้องใช้จำนวนหนึ่ง ซึ่งต้วนหลิงเทียนก็ไม่แปลกใจอะไรกับรางวัลเหล่านี้ ‘แถมด้วยอันดับของข้า พวกมันคงรู้ว่าข้าไม่ขาดกระทั่งงอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงโดยจอมราชันอมตะแน่นอน’
 
‘ในสถานการณ์แบบนี้ หากพวกมันมอบอุปกรณ์อมตะระดับราชาให้ข้า ก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘เพิ่มลายปักบุปผาบนผ้าดิ้น’ …สุดท้ายจึงเลือกที่จะมอบยันต์อมตะและโอสถที่จำเป็นต้องใช้ให้ข้าแทน’
(เพิ่มลายปักบุปผาบนผ้าดิ้น = ของมันดีอยู่แล้วไปตกแต่งเพิ่ม ก็เหมือนทำอะไรที่ไม่จำเป็น)
 
‘เพียงแต่พวกมันคงไม่รู้…ว่าภายในวังจอมราชันอมตะข้าไม่เพียงได้รับพวกอุปกรณ์อมตะระดับราชา ข้ายังได้ยันต์อมตะและโอสถมาเพียบ…’
 
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงมองของรางวัลที่ 3 นิกาย 2 ตระกูลด้วยสีหน้าท่าทีเฉยๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร
 
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ได้แลดูสะทกสะท้านกับของรางวัลแม้แต่น้อยย หลายคนก็มองเขาสูงขึ้นหลายส่วน
 
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เป็นผู้ฝึกตนอิสระแท้ๆแต่กลับรักษาอาการ ไม่ตื่นเต้นยินดีได้ในเวลาแบบนี้ ช่างหาได้ยากนัก!”
 
“การเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณคราวนี้ ผู้ฝึกตนอิสระอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนนับว่าเป็นม้ามืดที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์จริงๆ ไม่ทราบที่แท้ทั้งคู่มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่”
 
“ข้ารู้สึกว่าทั้งคู่มิน่าจะใช้ผู้ฝึกตนอิสระ…”
 
……
 
หลายคนเริ่มยกประเด็นผู้ฝึกตนอิสระของต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นออกมาพูด ต่างรู้สึกกันว่าทั้ง 2 ไม่น่าจะใช่ผู้ฝึกตนอิสระธรรมดาๆแน่นอน เพราะพลังฝีมือกับวัยนั้น อยู่เหนือสามัญสำนึกเรื่องผู้ฝึกตนอิสระของพวกมันอย่างแรง
 
“ของรางวัลพวกนี้…ไม่ใช่ว่าสมควรมอบให้พวกเราหลังจากที่พวกเราตัดสินใจเข้าร่วมขุมกำลังแล้วหรอกหรือ?”
 
พอถึงตาที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับผู้อาวุโสในตระกูลออกไปรับรางวัล มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความสงสัย
 
“นั่นมันเมื่อก่อน…”
 
จ่างซุนฉงฉีกล่าว “ทว่าตั้งแต่ครั้งนี้เป็นต้นไป ทุกคราที่แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออก 3 นิกาย 2 ตระกูลจะมอบรางวัลให้ผู้ที่รอดกลับออกมาเสียก่อน จากนั้นค่อยเปิดโอกาสให้พวกเจ้าเลือกขุมกำลังที่จะเข้าร่วม”
 
“และนี่ยังเป็นคำสั่งของคฤหาสน์เฉวียนโยว”
 
กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของงจ่างซุนจงฉีก็เผยความลำบากออกมาไม่น้อย
 
ถึงแม้ของรางวัลที่นำออกมาแจกจ่ายคราวนี้ ตระกูลจ่างซุนและตระกูลกงหยางจะออกของรางวัลในมูลค่าที่เทียบได้เพียงครึ่งของ 3 นิกายเท่านั้น….
 
แต่กระนั้นพวกมันก็เสียเปรียบหนักแล้ว
 
นั่นเพราะทุกคราที่ผู้คนรอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ ขุมกำลังที่พวกมันเลือกจะเข้าร่วมนั้น ก็มุ่งเน้นไปที่ 3 นิกาย ยิ่งเก่งกาจมากพรสวรรค์เท่าไหร่ ยิ่งไม่แยแส 2 ตระกูลมากขึ้นเท่านั้น
 
และนี่เป็นดั่งพันธนาการของตระกูล
 
ตระกูลกับนิกายนั้น แตกต่างกันอย่างมาก
 
เรื่องนี้ตัวมันเองก็รู้ดีแก่ใจ ทำให้ถึงจะรู้สึกจนปัญญา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ
 
หากพวกมันเป็นยอดเซียนอมตะมากฝีมือ พวกมันก็ไม่คิดจะเข้าร่วมตระกูลจ่างซุนกับตระกูลกงหยางเช่นกัน
 
“ที่แท้เป็นเพราะสาเหตุนี้”
 
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพอได้ฟังก็เข้าใจเรื่องราวได้ไม่ยาก จากนั้นนางก็รับรางวัลมา อาวุโสตระกูลมู่หรงข้างๆก็รับของรางวัลมาเช่นกัน
 
และไม่ว่าจะมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ดี อาวุโสตระกูลมู่หรงข้างๆก็ดี หลังได้รับรางวัลมาก็ไม่มีใครเผยอาการใดๆ สีหน้านิ่งสงบไม่สะทกสะท้าน
 
แต่ไม่มีใครแปลกใจเลย
 
เพราะทั้งคู่จะอย่างไรก็เป็นคนของตระกูลมู่หรง และตระกูลมู่หรงก็เป็นตระกูลระดับ 7 ที่พลังอำนาจไม่ได้แตกต่างจากตระกูลจ่างซุนและตระกูลกงหยางมากเท่าไหร่
 
เพียงแค่ตระกูลจ่างซุนกับตระกูลกงหยางนั้นมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคฤหาสน์เฉวียนโยวมากกว่า ฐานะของพวกมันจึงแลดูเหนือกว่าตระกูลมู่หรงอยู่บ้าง
 
แต่ในแง่ทรัพยากรแล้ว สิ่งที่ตระกูลมู่หรงมีก็ไม่ได้ต่างอะไรจากตระกูลจ่างซุนและตระกูลกงหยางเลย

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด