War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2954

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2954 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

WSSTH ตอนที่ 2,954 : เผ่าพยัคฆ์เหิน
 
 
“พญาอินทรีย์ทมิฬน้อย?”
 
มุมปากต้วนหลิงเทียนถึกับกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวของงทองเทพสุดลี้ลับในใจ
 
พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกต สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำตัวหนึ่ง  แต่ในสายตาของทองเทพสุดลี้ลับกลับเป็นได้แค่พญาอินทรีย์ทมิฬน้อย?
 
“ผู้อาวุโสท่านไฉนต้องกังวลด้วยเล่า…หากอีกฝ่ายคิดกินข้าขึ้นมาจริงๆ สำหรับท่านก็ไม่ใช่เหมือนกับเปลี่ยนร่างต้นรึไง ข้าคิดว่าอีกฝ่าต้องยินดีต้อนรับท่านแน่…”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยในใจสื่อสารกับทองเทพสุดลี้ลับ
 
และในความคิดของเขาถึงแม้เขาจะถูกพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตกินเข้าไปจนตาย แต่ทองเทพสุดลี้ลับก็แค่เปลี่ยนไปอาศัยในร่างของอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายกลายเป็นร่างต้นคนใหม่ก็เท่านั้น
 
“ยิ่งไปกว่านั้นระดับพลังของผู้อื่นก็นับว่าสูงกว่าข้าในตอนนี้มาก”
 
ต้วนหลิงเทียนพูดต่อ
 
“หึ! เจ้าหนูเอย…เจ้ายังพูดอยู่เองว่าด่านพลังของนกดำน้อยนี่สูงกว่าเจ้าใน ‘ตอนนี้’ มาก…หากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ชั่วชีวิตของเจ้านกดำน้อยนี่ ก็ไม่พ้นต้องติดอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด เพราะสายเลือดในร่างของมันนับว่าต่ำชั้นนัก”
 
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวออกเสียงเย็น
 
“แน่นอนว่าหากให้ข้าชี้แนะมัน ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไร้โอกาสก้าวหน้าได้มากกว่านี้…ทว่าด้วยยขีดจำกัดสายเลือดชั้นต่ำของมัน นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างมาก”
 
“เรียกว่าหากคิดให้มันบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ ก็ยากไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านไร้พลังคิดปีนป่ายขึ้นสวรรค์!”
 
“ส่วนเรื่องจะให้มันบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ…เว้นเสียแต่เจ้าจะสยบสวรรค์ให้ราบได้เสียก่อน เช่นนั้นก็เลิกหวังไปเถอะ”
 
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวต่อ
 
“ทว่าตัวเจ้านั้นแตกต่าง…พรสวรรค์และศักยภาพของเจ้านับว่าหาได้ยากในหมู่มนุษย์ หากเจ้ายังพบพานโชควาสนาอันใดระหว่างทาง ย่อมไม่ต่างจากหนึ่งก้าวถึงฟ้า! ในแง่ศักยภาพแล้ว ให้นำนกดำน้อยนี่มาเทียบกับเจ้าก็เหมือนดั่งความต่างระหว่างฟ้าดิน”
 
“ถึงแม้ว่ามันจะฆ่าเจ้าตาย แต่อย่างดีข้าก็แค่อยู่กับมันเป็นการชั่วคราว เพียงรอเวลาให้มันไปเจอร่างต้นที่เหมาะสมเท่านั้น…ส่วนเรื่องจะให้มันเป็นร่างต้นที่ข้ายอมรับ นั่นไม่มีวัน!”
 
 
ฟังจากคำพูดของทองเทพสุดลี้ลับแล้ว คล้ายดูหมิ่นเรื่องที่จะให้พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตเป็นร่างต้นอย่างมาก และไม่ได้สนใจอะไรในตัวอีกฝ่ายเลย
 
ได้ยินคำปรามาสดังกล่าว มุมปากต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาตงิดๆอีกรอบ
 
พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตนี่จะอย่างไรก็เป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำไม่ใช่รึไง ไฉนสิ่งที่พ่นออกมาจากปากของทองเทพสุดลี้ลับทำ ให้มันเสมือนเป็นแค่นกร้ายๆตัวหนึ่ง?
 
“ต่างจากนกดำน้อยนี่ เจ้าเสือน้อยตัวนั้นแม้สายเลือดของมันตอนนี้จะธรรมดา…ทว่าในสายเลือดของมันก็ยังมีสายเลือดของพยัคฆ์ขาวไหลเวียนอยู่อย่างเจือจาง เรื่องที่มันจะแข็งแกร่งเหนือกว่านกดำน้อยนี่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น คิดจะทะลวงถึงราชาอมตะ 2 ยศ หรือราชาอมตะ 3 ศักดิ์ไม่นับว่ามีปัญหาอันใด”
 
“แต่หากมันคิดจะก้าวหน้าให้มากไปกว่านั้น…ก็ต้องดูว่าโชควาสนาของมันดีหรือไม่ หาไม่แล้วชั่วชีวิตมันก็คงต้องหยุดอยู่ที่ด่านพลังราชาอมตะ 3 ยศเท่านั้น”
 
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวสืบต่อ
 
“เสือน้อย?”
 
ต้วนหลิงเทียนถึงกับผงะเมื่อได้ยินวาจาดังกล่าวของทองเทพสุดลี้ลับ จากนั้นเขาก็รู้ได้โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก ว่า ‘เสือน้อย’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงนั้น…สมควรเป็น ไป๋กัง ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวไม่ผิดแน่
 
“น้องต้วน ข้ายอมเจ้าเลย…ไม่เพียงแต่พลังฝีมือเจ้าจะร้ายกาจปานปีศาจ กระทั่งสัญชาตญาณของเจ้ายังแม่นได้อีก!”
 
ตอนนี้เองเสียงผ่านพลังของหวงเจียหลงก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน “เจ้าพูดถูก อาไป๋เองก็เป็นสัตว์อมตะเหมือนกัน และเป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำ ทว่าพรสวรรค์ของอาปไป๋นับว่าเหนือกว่าผู้เฒ่าโม่…และผู้เฒ่าโม่ยังกล่าวเอาไว้เอง ว่าวันหน้าอาไป๋สามารถบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์ได้…”
 
เสียงผ่านพลังที่ดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะของหวงเจียหลง นับว่าสอดคล้องกับสิ่งที่ทองเทพสุดลี้ลับพึ่งบอกเขาไม่มีผิด ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงความเจ๋งของทองเทพสุดลี้ลับทันที!
 
“ผู้อาวุโส…ท่านกับเพลิงเทพโกลาหลนั้นเป็น 2 ในเทพแห่งธาตุทั้ง 5 …แล้วอีก 3 คืออะไรบ้าง?”
 
ทว่าพอต้วนหลิงเทียนฉุกคิดถึงเรื่องนี้ ว่าไหนๆทองเทพสุดลี้ลับก็ตื่นแล้วจึงถามออกมา อนิจจาเขากลับไม่ได้รับคำตอบใดๆ
 
และถึงเขาจะเรียกอยู่หลายรอบ ก็ยังคงไร้วี่แววใดๆทั้งสิ้น
 
‘หลับไปอีกแล้วหรือ?’
 
มุมปากต้วนหลิงเทียนกระตุกไปอีกรอบ ‘จะให้ว่ายังไงดีล่ะ…ทองเทพสุดลี้ลับับเพลิงเทพโกลาหลนี่ ไฉนไม่คล้ายธาตุเทพอะไร แต่เหมือนหมูขี้เกียจมากกว่า นอนเก่งกันจริงๆ!’
 
“สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำรึ…พี่เจียหลง แล้วอาไป๋เป็นสัตว์อมตะเผ่าพันธุ์อะไรหรือ?”
 
หลังกลับมารู้สึกตัว ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังหวงเจียหลงด้วยความสงสัย
 
“อาไป๋เป็นพยัคฆ์เหินลายทองแดงน่ะ”
 
หวงเจียหลงกล่าวตอบ “และฟังจากเรื่องที่อาไป๋เคยบอก สายพันธุ์พยัคฆ์เหินลายทองแดงของอาไป๋นั้น ถือได้ว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีระดับต่ำที่สุดในเผ่าพยัคฆ์เหินแล้ว”
 
“เหนือจากพยัคฆ์เหินลายทองแดง ก็จะเป็นพยัคฆ์เหินลายเงิน ซึ่งเป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นกลาง! หากไม่ตกตายเสียก่อนเมื่อเติบโตเต็มวัย ต่อให้ไร้โอกาสและวาสนาอันใด แต่อย่างน้อยๆก็จะเป็นได้ถึงราชาอมตะ 6 ผสาน”
 
“และที่เหนือกวว่าพยัคฆ์เหินลายเงิน ก็คือ พยัคฆ์เหินลายทอง…นั่นคือสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูง! หากทว่าในสายพันธุ์พยัคฆ์เหินลายทองเองก็มีแบ่งแยกสูงต่ำตามความเข้มข้นของสายเลือด หากสายเลือดไม่เข้มข้นมากพอ ชั่วชีวิตก็คงหยุดอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักเท่านั้น เรื่องจะบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันคงไม่มีหวัง กระทั่งเอาแค่ราชาอสมตะ 10 ทิศยังยาก…”
 
“ในเผ่าพยัคฆ์นั้น มีแค่พยัคฆ์เหินลายทองเข้มที่มีสายเลือดเข้มข้นเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะได้แม้จะไร้โชควาสนาอันใดก็ตาม แต่อย่างไรก็จะเป็นได้แค่จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น”
 
หวงเจียหลงกล่าวผ่านพลังตอบมาเป็นชุด
 
“พยัคฆ์เหินลายทองเข้ม?”
 
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
 
“มิผิด เป็นพยัคฆ์เหินลายทองเข้ม!”
 
หวงเจียหลงพยักหน้า “ข้าเคยได้ยินอาไป๋เล่าให้ฟังว่าในเผ่าพยัคฆ์เหินนั้น พยัคฆ์เหินลายทองเข้มถือว่าเป็นสายเลือดสูงส่งดั่งสายเลือดขัตติยะของมนุษย์…เพราะพยัคฆ์เหินลายทองเข้ม ต่อให้ไร้วาสนาอันใด แต่ขอแค่มีเวลามากพอสุดท้ายด่านพลังก็จะบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้ในสักวัน”
 
“แน่นอนว่าจะหยุดอยู่แค่จอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด…หากคิดบรรลุขั้นพลังในขอบเขตจอมราชันอมตะที่สูงกว่าหรือคิดเป็นจอมราชันอมตะสมญานาม พยัคฆ์เหินลายทองเข้มตนนั้นก็จำต้องพบพานวาสนาปาฏิหาริย์ถ่ายเดียว!”
 
หวงเจียหลงกล่าวผ่านพลังสืบต่อ
 
“ฟังจากที่พี่เจียหลงเล่ามา…พยัคฆ์เหินลายทองเข้มที่ว่าก็สมควรจัดอยู่ว่าเป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูงสุดที่ค่อนข้างพิเศษสินะ เพราะที่ข้าเคยได้ยินมาเหมือนสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูงสุด ด่านพลังจะหยุดอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศเท่านั้น”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยคาด
 
“ไม่ผิด”
 
หวงเจียหลงพยักหน้าเบาๆ
 
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็มีเหลือบมองไปยังศีรษะอันเขื่องของพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกต สลับกับไป๋กังที่ยืนข้างๆหวงเฟยเหยี่ยนเจ้าเมือตู้อวิ๋น
 
ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าไป๋กังเป็นพยัคฆ์เหินลายทองแดง
 
“พี่เจียหลง…”
 
ครู่ต่อมาคล้ายนึกอะไรได้ออก ต้วนหลิงเทียนจึงหันไปมองหวงเจียหลงพร้อมส่งเสียงผ่านพลังไปถามอีกรอบ “หากข้าเดาไม่ผิด…ในแดนสวรรค์ใต้นี่ สมควรมีเผ่าพยัคฆ์เหินอยู่ใช่ไหม? ผู้เฒ่าโม่เองก็เช่นกัน ถึงจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันแต่ก็คงมีภาคีหรือกลุ่มชาติพันธ์อะไรพวกนี้สินะ?”
 
เท่าที่ต้วนหลิงเทียนเคยศึกษาข้อมูลมา สัตวว์อมตะที่มีสติปัญญาในระนาบเทวโลก มักจะอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ และระนาบเทวโลกบางระนาบก็มีสัตว์อมตะมากกว่าผู้คนได้แก่ ว่านโช่วเทียน เฟิ่งชีเทียน ผานหลงเทียน ไป๋หู่เทียน
 
ในระนาบเทวโลกดังกล่าวนั้น ประชากรกว่า 8 ส่วนล้วนเป็นสัตว์อมตะ อีก 2 ส่วนที่เหลือถึงจะเป็นผู้คน
 
และมีเพียง ว่านโช่วเทียน เพียงแห่งเดียวใน 81 ระนาบเทวโลก ที่มีสัตว์อมตะอยู่มากกว่า 99 ในร้อยส่วนเสียอีก! เรียกว่าไปที่ใดก็พบเจอแต่สัตว์อมตะ!!
(ว่านโช่วเทียน = สวรรค์หมื่นอสูร)
 
เนื่องเพราะใน ว่านโช่วเทียน นั้น หากมีสิ่งมีชีวิตใดที่ไม่ใช่สัตว์อมตะล่วงล้ำเข้ามาจนถูกพบเจอ ก็จะถูกสัตว์อมตะทั้งมวลกลุ้มรุมเข่นฆ่าสังหารทันที
 
หากไม่ใช่สัตว์อมตะแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอาศัยอยู่ในว่านโช่วเทียน เว้นเสียแต่จะมีพลังฝีมือแกร่งกล้ามากพอสยบมวลหมู่สัตว์อมตะทั้งว่านโช่วเทียนได้
 
สำหรับในระนาบเทวโลกอื่นๆที่มีสัตว์อมตะอยู่กว่า 8 ส่วนนั้น สถานการณ์ของมนุษย์ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ยังเห็นว่ามีผู้คนกับสัตว์อมตะอาศัยอยู่ร่วมกันอยู่บ่อยๆ
 
แต่แน่นอนว่าในระนาบเทวโลกเช่นนั้น เหล่าสัตว์อมตะก็ล้วนผนึกกำลังเป็นปึกแผ่นยามมีภัย! ถ้ามนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดคิดล่าสัตว์อมตะ หากถูกตรวจพบก็จะพบเจอกับกลุ้มรุมสังหารเช่นกัน!!
 
สัตว์อมตะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์อมตะที่ทรงพลังนั้น มีมูลค่ามากมาย ร่างกายทั้งร่างเรียกว่าจับต้องที่ใดก็เป็นดั่งสมบัติทั้งสิ้น บางชิ้นส่วนก็มีไว้หลอมโอสถอมตะ บ้างก็ใช้ทำอุปกรณ์อมตะ ยังมีสารเหลวที่ใช้ในการสลักอาคมจัดตั้งค่ายกลอะไรโดยเฉพาะ
 
เรียกว่าหากสัตว์อมตะใดไร้พลังปกป้องตัวเองแล้วล่ะก็ ไม่ต่างอะไรกับปลาบนเขียงที่รอให้ผู้อื่นมาแล่สับได้ตามใจเลย
 
ตัวอย่างเช่นพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตที่ต้วนหลิงเทียนขี่หลังอยู่นั้น ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก เอาแค่ขนที่ปกคลุมไปทั่วร่างอย่างที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเหยียบอยู่ แต่ละชิ้นก็นำไปเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับหลอมอุปกรณ์อมะระดับขุนนางได้แล้ว
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนบริเวณส่วนปีกที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด หากมีมากพอและนำไปหลอมด้วยเพลิงอมตะที่เหมาะสมโดยเหล่าปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะมีฝีมือ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสร้างอุปกรณ์อมตะระดับราชาขึ้นมาได้!
 
และกล่าวไปขนก็นับเป็นสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดในร่างพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตแล้ว
 
อวัยวะส่วนอื่นๆของพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตนั้น มีค่ามากกว่าเส้นขนเยอะนัก ถึงขั้นที่ราชาอมตะมากมายยังต้องการ กล่าวได้ว่าหากไม่มีกำลังปกป้องตัวเอง ป่านนี้ผู้เฒ่าโม่คงถูกจับไปชำแหละชั่งกิโลขายเนิ่นนานแล้ว…
 
ทว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าโม่หรือไป๋กัง ก็สามารถปรากฏตัวในประเทศฝูชิวได้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่ได้แลดูหวั่นเกรงอะไรเลย และเท่าที่ฟังจากหวงเจียหลงมา ทั้งคู่ก็เหมือนจะอยู่ที่เมืองตู้อวิ๋นมาหลายพันปีแล้ว จนผู้คนรู้จักกันไปทั่ว
 
ต้วนหลิงเทียนจึงเชื่อมั่นว่า หากทั้งคู่ไร้สิ่งใดให้พึ่งพิง คงไม่มีทางมาปรากฏตัวให้ผู้คนเห็นอย่างโจ๋งครึ่มแบบนี้แน่นอน
 
ต้วนหลิงเทียนก็เลยถามหวงเจียหลงออกไปในทำนองคาดเดาว่า…ทั้งคู่สมควรมีเผ่าหรือกลุ่มชาติพันธุ์อะไรตั้งถิ่นฐานอยู่ในแดนสวรรค์ใต้ใช่ไหม
 
และสัตว์อมตะหรือใครก็ตามที่คุมเผ่ากับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ว่าอยู่ ต้องทรงพลังมากพอจะสะกดทุกผู้คนในสวรรค์แดนใต้ให้ไม่กล้าบังเกิดจิตคิดละโมบ!
 
“ย่อมมีเป็นธรรมชาติ”
 
คราวนี้หงเจียหลงไม่ได้แปลกใจอะไรกับการคาดเดาของต้วนหลิงเทียน
 
เพราะในความคิดมัน สิ่งนี้แทบจะเป็นสามัญสำนึกของผู้คนในระนาบเทวโลก สัตว์อมตะหาญกล้าปรากฏตัวโดยไม่กลัวผู้คนไล่ล่า…ไหนเลยจะไม่มีขาใหญ่คอยให้ความคุ้มครองอยู่เบื้องหลังได้?
 
“ในสวรรค์แดนใต้ของพวกเรา เผ่าพยัคฆ์เหินถือเป็นเผ่าใหญ่ในบรรดาเผ่าสัตว์อมตะทั้งหมดก็ว่าได้…ข้าเคยได้ยินอาไป๋เล่ามา ว่าในเผ่านั้นมีพยัคฆ์เหินลายทองไม่น้อยกว่า 10 ตัว…”
 
“และเผ่าพยัคฆ์เหินนั้น ก็มีตั้งฐานที่มันสาขาย่อยยมากมาย กระจายไปทั่วทุกที่…อาไป๋เองก็มาจากเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาประจำคฤหาสน์เฉวียนโยวเรานี่ล่ะ”
 
“เผ่าสาขาที่อาไป๋อยู่ ถึงแม้จะไม่มีพยัคฆ์เหินลายทองเข้ม หากทว่าพยัคฆ์เหินลายทองก็มีไม่น้อยกว่า 5 ตัว 3 ตัวยังบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศแล้วด้วย”
 
“ด้วยมีเผ่าพยัคฆ์เหินหนุนหลังอยู่ อาไป๋จึงกล้าเผยตัวสู่สาธารณชน และไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ”
 
“เนื่องเพราะสัตว์อมตะระดับราชาทั้งหลาย ล้วนมีความสามารถในการทิ้งร่องรอยวิญญาณไว้กับฆาตกรที่เข่นฆ่าสังหารตัวเอง…และร่องรอยวิญญาณนั่น เรียกว่าเป็นดั่งตราประทับยากจะลบกลายๆ เพราะต่อให้เป็นจอมราชันอมตะก็ไม่อาจจะลบมันออกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ สุดท้ายก็ไม่พ้นถูกทางเผ่าส่งคนออกมากลุ้มรุมสังหารเสียก่อน…”
 
“อย่างอาไป๋ หากถูกผู้อื่นเข่นฆ่าขึ้นมา แต่สามารถทิ้งร่องรอยวิญญาณไว้ที่ฆาตกรได้…ยอดฝีมือในเผ่าที่อยู่เบื้องหลังอาไป๋ ก็จะตามร่องรอยวิญญาณของอาไป๋ไป เพื่อไล่ล่าฆาตกรนั่นทันที”
 
“ระนาบเทวโลกที่มีผู้คนกับสัตว์อมตะอยู่ร่วมกันนั้น ปกติแล้วสัตว์อมตะทั้งหลายก็จะรวมกลุ่มกันจัดตั้งพันธุมิตร ภาคีก็ว่า เพื่อให้มีพลังกล้าแข็งมากพอจะต่อกรกับผู้คิดร้ายในใต้หล้า…”
 
วาจาที่หวงเจียหลงเอ่ยออกมายืดยาว นับว่ายืนยันข้อสันนิษฐานของต้วนหลิงเทียนได้ชัดเจน…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด