War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2733

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2733 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

WSSTH ตอนที่ 2,733 : โอสถหลัวเทียน
 
 
“ไฉนถึงเป็นเช่นนั้นเล่า?”
 
ได้ยินคำของหลงเฟยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็เผยความสงสัยใคร่รู้ออกมา
 
“เพราะนั่นหมายความว่าน้องต้วนสนใจเคล็ดอมตะขั้นปฐพีในมือข้าจริงๆ…และข้าอาจทำข้อตกลงกับน้องต้วนได้”
 
หลงเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
 
“ข้อตกลง?”
 
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย  ในใจเริ่มย้อนคิดถึงเรื่องข้อตกลงที่เขาทำกับเจ้าเมืองหลิ่วอย่างอดไม่ได้
 
และข้อตกลงที่ว่าก็คือ
 
หลิ่วเฟิงกู่จะพยายามสนับสนุนการบ่มเพาะของเขาอย่างเต็มกำลัง แต่เขาต้องช่วยหลิ่วเฟิงกู่สังหารผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของจวนผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยว
 
ต่อมาเขาก็สามารถทำให้ข้อตกลงดังกล่าวลุล่วงไปด้วยดี
 
“ใช่”
 
หลงเฟยอวิ๋นพยกหน้า กล่าวต่อออกมาด้วยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง “ตราบใดที่น้องต้วนเต็มใจรับปากข้าเรื่องหนึ่ง ข้าจะมอบเคล็ดอมตะขั้นปฐพีให้ท่าน”
 
“เรื่องอะไรหรือ?”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
 
“ข้าหวังว่า…น้องต้วนจะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ที่ทางประเทศอมตะเถิงหลงเราจัดขึ้นที่พระราชวังหลวง เพื่อคัดเลือกผู้ที่จะไปเข้าร่วมการประลองในแดนร้างหลังจากนี้อีก 1 ปี! ด้วยพลังฝีมือของน้องต้วน คิดจะชิง 1 ใน 50 อันดับแรกเพื่อเข้าร่วมการประลองที่แดนร้าง…สมควรเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก!!”
 
หลงเฟยอวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้ ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยถามออกมาก่อน “จริงสิ น้องต้วน…ท่านใช่รู้เรื่องงานประลองใหญ่ที่ทางแดนร้างจะจัดขึ้นแล้วหรือยัง?”
 
เพราะมันพึ่งนึกขึ้นได้ว่า…
 
ชายหนุ่มเบื้องหน้าอาจจะยังไม่รู้เรื่องที่แดนร้างจะจัดงานประลองครั้งใหญ่
 
“ข้าทราบ”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “3 นิกายอมตะใหญ่ในแดนร้าง จะจัดงานประลองใหญ่ โดยที่ผู้ที่จะเข้าร่วมประลองจำต้องมีอายุน้อยกว่าร้อยปี…และผู้ที่สามารถสร้างผลงานได้โดดเด่นในการประลอง ก็จะมีโอกาสได้เข้าเป็นศิษย์ของนิกายอมตะใหญ่ทั้ง 3 โดยตรง”
 
สำหรับเรื่อง งานประลองใหญ่ในแดนร้างนั้น ตั้งแต่วันแรกๆที่เขามาถึงเมืองหลวงของประเทศอมตะเถิงหลง เขาก็ได้ยินมาก่อนแล้ว
 
ในขณะเดียวกันเขายังบังเกิดความสนใจในงานประลองใหญ่ของแดนร้างไม่น้อย
 
เพราะสุดท้ายแล้วการได้เข้าร่วมงานประลองใหญ่ในแดนร้าง ก็จะมีโอกาสให้เขาได้เข้าสู่ 3 นิกายอมตะยักษ์ใหญ่ในแดนร้าง เพื่อใช้มันต่างแท่นกระโดด เพื่อให้เขามีโอกาสได้ทะยานออกนอกแดนร้างไปยังดินแดนที่สูงยิ่งขึ้น
 
ในแดนร้างแห่งนี้ 3 นิกายอมตะยัษ์ใหญ่ที่ว่า ก็ทรงพลังที่สุดแล้ว
 
“ดี!”
 
หลงเฟยอวิ๋นพยักหน้า ในเมื่อชายหนุ่มเบื้องหน้ารู้เรื่องนี้ดีแล้ว เช่นนั้นมันก็ไม่จำเป็นนต้องอธิบายอะไรอีก
 
“องค์ชาย 13…ท่านคงไม่คิดให้ข้าเข้าร่วมงานประลองใหญ่แดนร้างเฉยๆใช่หรือไม่ สมควรมีอะไรที่อยากให้ข้าทำหลังจากนั้น?”
 
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องหลงเฟยอวิ๋นด้วยสายตาลึกซึ้ง ค่อยยิงคำถามดังกล่าวออกมาตรงๆ
 
เจอกับคำถามอันตรงไปตรงมาของต้วนหลิงเทียน สองตาหลงเฟยอวิ๋นก็ทอประกายสว่างขึ้นวาบหนึ่ง ค่อยพยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “อาศัยพลังฝีมืออันร้ายกาจของน้องต้วน อย่าว่าแต่จะช่วงชิงสิทธิ์เข้าร่วมงานประลองใหญ่ในแดนร้างได้ง่ายๆ…ยังเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนักที่จะโดดเด่นในงานประลองใหญ่”
 
“ถึงตอนนั้นข้าเชื่อว่า 3 นิกายอมตะใหญ่ต้องรีบแย่งกันโยนกิ่งมะกอก เพื่อทาบทามให้น้องต้วนเข้าร่วมนิกายแน่นอน…และข้าหวังว่าน้องต้วนจะเลือกเข้าร่วมกับนิกายอมตะ หลงหวู่!”
(กิ่งมะกอก = ข้อเสนออันดีงาม, กิ่งใบมะกอกแทนเกียรติยศอันสูงส่ง ยังเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ)
 
กล่าวถึงประโยคท้าย ลมหายใจของหลงเฟยอวิ๋นก็ถี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
 
“นิกายอมตะหลงหวู่?”
 
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยสงสัย “องค์ชาย 13 ลองท่านเจาะจงให้ข้าเข้าร่วมกับนิกายอมตะหลงหวู่แบบนี้ ท่านสมควรมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างใช่หรือไม่?”
 
“มิผิด!”
 
หลงเฟยอวิ่นพยักหน้า “ที่ข้าขอให้น้องต้วนเข้าร่วมนิกายอมตะหลงหวู่นั้น มิใช่เพราะใดอื่น แต่เป็นเพราะนิกายอมตะหลงหวู่ คือผู้ที่มีอำนาจปกครองประเทศอมตะสูง 13 ประเทศ รวมถึงประเทศอมตะเถิงหลง…”
 
ไม่ทันที่หลงเฟยอวิ๋นจะทันได้พูดจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็โพล่งขัดขึ้นมาเสียก่อน
 
“อะไร?”
 
“ประเทศอมตะเถิงหลงอยู่ภายใต้อาณัติของนิกายอมตะหลงหวู่ แถมนอกจากประเทศอมตะเถิงหลงแล้ว ยังมีประเทศอมตะระดับสูงอีก 12 ประเทศอยู่ใต้อาณัติ?”
 
ต้วนหลิงเทียนไม่แปลกใจคงไม่ไหว เพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าประเทศอมตะเถิงหลง จะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับนิกายอมตะหลงหวู่ในลักษณะนี้
 
“น้องต้วน เรื่องนี้ท่านไม่รู้ก็ไม่แปลก…เพราะเรื่องราวพวกนี้จะรู้กันก็แค่ตระกูลราชวงศ์ที่ปกครองประเทศอมตะระดับสูงเท่านั้น เพราะหากมันแพร่งพรายออกไปตระกูลราชงศ์ทั้งหลายก็มีแต่ต้องเสียหน้า ทำให้ทุกตระกูลราชวงศ์ของประเทศอมตะระดับสูงเลือกจะปกปิดความจริงเรื่องนี้เอาไว้…”
 
หลงเฟยอวิ๋นกล่าว “และไม่ใช่แค่ประเทศอมตะระดับสูงเท่านั้น…กระทั่งประเทศอมตะระดับกลางกับระดับต่ำ อันที่จริงแล้วทั้งหมดล้วนอยู่ใต้อาณัติของ 1 ใน 3 นิกายอมตะใหญ่ในแดนร้างหมดทั้งสิ้น ”
 
“นอกจากนิกายอมตะหลงหวู่ ที่ปกครอง 13 ประเทศอมตะระดับสูงรวมถึงประเทศอมตะเถิงหลงแห่งนี้แล้ว…นิกายอมตะไท่อี กับนิกายอมตะเชียนจี ก็ยังมีประเทศอมตะระดับสูงใต้อาณัตินิกายละ 13 ประเทศเช่นกัน”
 
“รวมถึงประเทศอมตะระดับกลางกับประเทศอมตะระดับต่ำเอง ก็ล้วนถูกแบ่งสันปันส่วน ถูกปกครองโดยนิกายอมตะใหญ่ 3 นิกายในแดนร้างทั้งสิ้น”
 
“หาไม่แล้ว…น้องต้วนไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าไฉนประเทศอมตะระดับสูงทั้งๆที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งกว่าประเทศอมตะระดับกลางกับระดับต่ำมาก แต่จึงไม่ต่อสู้ช่วงชิงแผ่นดินมารวมเป็นหนึ่ง? ทั้งหมดเพราะ…ประเทศอมตะใดๆล้วนแล้วอยู่ใต้อาณัติของนิกายอมตะด้วยกันทั้งสิ้น หากมีการต่อสู้ช่วงชิงดินแดนภายในโดยพลการ ก็จะถูกนิกายอมตะเบื้องหลังลงโทษสถานหนัก!”
 

 
ในวาจาของหลงเฟยอวิ๋นได้อธิบายเรื่องราวบางประการที่ต้วนหลิงเทียนเคยสงสัยจนกระจ่างแจ้งทั้งหมด
 
อันที่จริงเขาก็มีคิดไว้แต่แรกแล้ว ว่าไฉนประเทศอมตะระดับกลางกับประเทศอมตะระดับต่ำ ถึงแยกตัวเป็นเอกเทศและปกครองตนเองได้โดยไม่ถูกประเทศอมตะระดับสูงครอบงำกลืนกิน
 
ครึ่งหนึ่งเขายังเคยคิดไปว่า
 
หากเขาเป็นฮ่องเต้ของประเทศอมตะระดับสูงล่ะก็ มิสู้ควบรวมแดนดินเป็นของตนเองเสีย จะได้ทำการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว ขยายฐานอำนาจของประเทศตัวเองออกไป
 
มาตอนนี้ในที่สุดเขาจึงได้รู้
 
ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ประเทศอมตะระดับสูงไม่อยากควบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น โดยการกลืนกินประเทศอมตะระดับกลางกับระดับต่ำ แต่พวกมันทำไม่ได้!
 
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”
 
พอได้รู้ต้วนหลิงเทียนจึงได้ตระหนัก
 
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ สองตาเขาก็ทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง “เช่นนั้นที่องค์ชาย 13 ให้ข้าเข้าร่วมนิกายอมตะหลงหวู่ เพราะว่า…”
 
“ไม่ผิด! วันไหนที่น้องชายต้วนเติบโตและมีฐานะในนิกายอมตะหลงหวู่มากพอ ข้าอยากให้น้องต้วนช่วยข้าขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร กลายเป็นฮ่องเต้ของประเทศอมตะเถิงหลง!”
 
เมื่อหลงเฟยอวิ๋นกล่าวจบคำ สองตาที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่ก็เต็มไปด้วยความเร่าร้อนวาดหวัง
 
“ถึงข้าจะเข้าร่วมนิกายอมตะหลงหวู่ได้จริง…แต่ข้าจะมีสิทธิ์มีเสียงมากพอถึงขั้นกำหนดตัวฮ่องเต้ประเทศเถิงหลงได้หรือ?”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
 
“แม้จักเป็นความหวังอันริบหรี่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยมิใช่หรือ?”
 
หลงเฟยอวิ๋นกล่าวจบ ก็หัวเราะเย้ยหยันตัวเองอีกครั้ง
 
เพราะด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของมันนั้น ตัวมันรู้ดีว่าแทบไม่เห็นทางที่จะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้เถิงหลงเลย เพราะสุดท้ายให้มันเหนือกว่าพี่ 4 กับพี่ 7 แล้วจะอย่างไร…
 
บิดาของมันก็ไม่มีทางให้มันได้ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทเพื่อสืบบัลลังก์อยู่ดี!
 
เว้นเสียแต่บิดาของมันจะหายไป…
 
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันไม่ใช่ลูกทรพี เอาแค่เรื่องที่อยากให้บิดามันหายไปยังเป็นเรื่องง่ายหรือ?
 
และไม่ต้องพูดถึงบิดามันที่เป็นฮ่องเต้เถิงหลงจึงมียอดฝีมือใต้อาณัติมากมายดั่งหมู่เมฆ กระทั่งตัวบิดามันเอง ก็ยังเป็นถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ชนชั้นสุดยอดฝีมือ!
 
“เพียงเพื่อแสงแห่งความหวังอันริบหรี่ที่ว่า…มันคุ้มค่ากับเคล็ดอมตะขั้นปฐพีแล้วหรือ?”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกรอบ
 
“ย่อมคุ้มค่า!”
 
หลงเฟยอวิ๋นกล่าวเสียงเข้ม “การถ่ายทอดเคล็ดอมตะขั้นปฐพีให้น้องต้วน กล่าวตรงข้าไม่ได้เสียอะไรไปแม้แต่นิดเดียว…ทว่าสิ่งนี้กลับแลกมาซึ่งแสงแห่งความหวังอันริบหรี่ให้ข้า เปิดช่องทางสายหนึ่งให้ข้าได้มีโอกาสกลายเป็นฮ่องเต้เถิงหลง! เท่านี้ข้าก็พร้อมจะแลกแล้ว!!”
 
“เป็นธรรมดาที่ข้ารู้ดีว่าข้อตกลงครั้งนี้อาจจะลุล่วงได้ยาก ทั้งเผลอๆอาจจะเป็นไปไม่ได้…แต่ข้าเพียงหวังให้น้องต้วนท่านรับปากข้า…ว่าวันหนึ่งหากท่านมีพลังสามารถมากพอ ถึงขั้นมีสิทธิ์มีเสียงในนิกายอมตะหลงหวู่ได้ โปรดช่วยเหลือข้าให้ได้ขึ้นครองราชย์ เป็นฮ่องเต้แห่งประเทศอมตะเถิงหลงแห่งนี้ด้วยเถอะ!”
 
วาจาของหลงเฟยอวิ๋นชัดเจนนัก
 
ถ้าหากต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปนิกายอมตะหลงหวู่แล้ว ไม่มีสามารถถึงขั้นกำหนดในเรื่องนี้ได้ มันก็จะไม่เรียกร้องอะไรแม้แต่น้อย
 
อย่างไรก็ตามหากวันไหนที่ต้วนหลิงเทียนมีฐานะสูงพอ และมีสิทธิ์มีเสียงมากพอจะกำหนดความเป็นไปในเรื่องนี้ของนิกายอมตะหลงหวู่ มันแค่หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะพยายามช่วยมันให้ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรสุดความสามารถ
 
“หากข้าเดาไม่ผิด…”
 
ต้วนหลิงเทียนหยีตา พลางกล่าวถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “ตราบใดที่ข้าเข้าร่วมนิกายอมตะหลงหวู่ ด้วยพรสวรรค์ของข้า คงไม่ยากที่ข้าจะได้รับเคล็ดอมตะขั้นปฐพีหรอกมั้ง? เพราะเงื่อนไขในการได้รับเคล็ดอมตะขั้นปฐพีที่นิกายอมตะหลงหวู่ คงไม่รุนแรงเท่ากับเงื่อนไขในประเทศอมตะเถิงหลงแห่งนี้ใช่หรือไม่?”
 
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ…”
 
หลงเฟยอวิ๋นพยักหน้า
 
และตอนนี้เองชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังหลงเฟยอวิ๋น ที่เดิมทียังยืนหลับตาอย่างสงบ หลังได้ยินคำกล่าวนี้ของต้วนหลิงเทียน มันก็ลืมตาขึ้นมามองจ้องต้วนหลิงเทียนทันที แถมสายตายังคมปานมีดดาบ ราวกับหากต้วนหลิงเทียนกล้าปฏิเสธหลงเฟยอวิ๋น มันจะลงมือจัดการต้วนหลิงเทียนในบัดดล
 
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…แล้วทำไมข้าต้องทำข้อตกลงกับท่านด้วยเล่า?”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามหลงเฟยอวิ๋นออกมาอีกครั้ง แต่ต้นจนจบไม่ได้สนใจสายตาแหลมคมเอาเรื่องของชายวัยกลางคนสักเพียงนิด
 
“นอกจากเคล็ดอมตะขั้นปฐพีแล้ว…ข้ายังสามารถมอบ ‘ตำรับโอสถ’ ให้น้องต้วนได้อีกด้วย”
 
ได้ยินคำถามย้ำของต้วนหลิงเทียน หลงเฟยอวิ๋นยังคงกล่าวออกมาโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
 
ตำรับโอสถ?
 
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น ตำหรับโอสถทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาเขา
 
“ตำรับโอสถที่ข้าว่า…เป็นตำรับโอสถ หลัวเทียน!”
 
หลงเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างใจเย็น
 
เปรี๊ยง!!
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อวาจาของหลงเฟยอวิ๋นดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนเสมือนถูกอัสนียามแล้งที่ฟาดผ่าลงมาโดยไร้ซึ่งการตั้งเค้าใดๆมาก่อน คนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดไปทันใด
 
ตำรับโอสถหลัวเทียน!?
 
นี่มัน…
 
เท่าที่เขาทราบมา…
 
ไม่ต้องกล่าวถึงในประเทศอมตะระดับสูงด้วยซ้ำ เพราะสำหรับ 3 นิกายอมตะใหญ่ในแดนร้างแล้ว โอสถหลัวเทียน ก็เป็นโอสถอมตะที่หาได้ยากเย็นยิ่ง
 
แม้แต่โอสถหลัวเทียนที่นิกายอมตะใหญ่ในแดนร้างใช้กันทุกวันนี้ ก็มาจากการหลอมกลั่นของปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงของแดนร้างที่มีน้อยคน และในประเทศอมตะระดับสูงทั้งหลายก็ไม่อาจหาซื้อโอสถหลัวเทียนได้…เพราะไม่มีแม้แต่ตำรับโอสถหลัวเทียน ที่จะเอาไว้หลอมปรุงมันออกมาด้วยซ้ำ!
 
“ท่าน…ท่านมีตำรับโอสถหลัวเทียนจริงๆ!?”
 
มองหลงเฟยอวิ๋นอีกครั้ง ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นถี่รัวขึ้นมาราวคนหอบเหนื่อย!
 
โอสถอมตะหลัวเทียน…โอสถอมตะสำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตพลังยอดเซียนอมตะ!
 
และหากต้าหลัวจินเซียนขั้นสุดยอดรับประทานโอสถอมตะหลัวเทียนล่ะก็ โอกาสที่จะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะเรียกว่ามีสิบส่วนเต็ม!
 
และหากเป็นตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะรับประทาน ก็จะช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น!
 
โอสถหลัวเทียนมีความหมายกับต้าหลัวจินเซียนขั้นสุดยอดเพียงไหน ก็บอกได้เลยว่าไม่ต่างอะไรจากความสำคัญของโอสถต้าหลัวกับจินเซียนตะวันม่วง! เพียงรับประทานสามารถทะลวงด่านพลังได้แน่นอน!!
 
นอกจากนี้แม้โอสถหลัวเทียนจะมีลักษณะการใช้เหมือนกับโอสถต้าหลัว แต่มันมีระดับสูงกว่ากันเป็นเท่าตัว และเป็นถึงโอสถอมตะระดับสูง!
 
โอสถต้าหลัวนั้น เป็นโอสถอมตะระดับกลางที่มีความยากในการหลอมปรุงสูงสุดในบรรดาโอสถอมตะระดับกลาง มีแต่ปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับกลาง ที่มีเพลิงอมตะเหมาะสมแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่หลอมกลั่นออกมาได้
 
โอสถหลัวเทียนก็ทำนองเดียวกัน มันเป็นโอสถอมตะระดับสูงที่หลอมได้ยากเย็นที่สุดในบรรดาโอสถอมตะระดับสูงทั้งหลาย มีเพียงปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงไม่กี่คนที่หลอมกลั่นออกมาได้…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด