War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2560
ตอนที่ 2,560 : หินสีดำ อาณาจักรนภาล่องก็คืออาณาจักรบ้านเกิดของต้วนหลิงเทียนในชีวิตนี้… มันเป็นแค่อาณาจักรเล็กกระจ้อยที่อยู่ในหลืบของทวีปเมฆาล่อง อันเป็นทวีปมนุษย์ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง และอยู่ภายใต้อำนาจของ 1 ใน 10 ราชวงศ์ ใต้อำนาจจักวรรดิศิลาทมิฬ…และอาณาจักรพนาคราม อีกที เขามีความทรงจำในอาณาจักรนภาล่องมากมาย… เรียกว่าญาติและสหายของเขาส่วนใหญ่ในทวีปเมฆาล่อง ล้วนอยู่ในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้! และที่เขากลับมาครั้งนี้ ก็เพราะเขาอยากเฝ้ามองสหายและญาติเก่าๆเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเดินทางออกจากระนาบเซียน อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดเลยว่าพึ่งเดินทางกลับมาถึงทวีปเมฆาล่องได้ไม่ทันไร ป้ายหยกดังกล่าวพลันบังเกิดความผิดปกติ จนนำเขามาถึงอาณาจักรนภาล่องอย่างที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว… “หืม? ความเร็วของมัน…ค่อยๆลดลงแล้ว” และสิ่งที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจก็คือ หลังจากย้อนกลับมาถึงอาณาจักรนภาล่อง ป้ายหยกที่เหินนำอยยู่ด้านหน้าก็ค่อยๆลดความเร็วลงเรื่อยๆ… “ทิศทางนี้มัน…จะไปที่นั่นงั้นเหรอ?” ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย เพราะหลังจากเขาถ่ายทอดพลังลงไปในกระบี่หยก จนคล้ายเปิดผนึกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนนั้น ข้อความที่เซี่ยเจี๋ยบันทึกไว้ให้ก็เริ่มดังขึ้น และไม่เพียงบอกเรื่องของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเท่านั้น ยังบอกถึงเรื่องอื่นๆอีกด้วย และเท่าที่เซี่ยเจี๋ยบอก ป้ายหยกป้ายนี้เป็นเซี่ยเจี๋ยได้รับมาโดยบังเอิญ และในตอนแรกที่หยิบขึ้นมาก็มีเสียงลึกลับกล่าวบอกไว้ว่า… ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในป้ายหยกป้ายนี้ มีเพียงผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สายเท่านั้นที่จะสามารถไขความลับของมันได้… เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เซี่ยเจี๋ยพยายามไขความลับที่ซ่อนอยู่ภายในป้ายหยกป้ายนี้ หากแต่สุดท้ายก็ไม่พบเจอสิ่งใด อย่างไรก็ตามมีเรื่องหนึ่งที่เซี่ยเจี๋ยมั่นใจมาก ป้ายหยกป้ายนี้ไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาแน่นอน! เพราะไม่เพียงแต่เซี่ยเจี๋ยจะไม่อาจทำลายป้ายหยกป้ายนี่ได้ กระทั่งพี่ใหญ่ของเซี่ยเจี๋ย ผู้นำตระกูลเซี่ยของดินแดนแห่งทวยเทพ ก็ไม่อาจสร้างแม้แต่รอยขีดข่วนใดๆให้ป้ายหยกดังกล่าว!! “ตลอดชั่วชีวิตของข้าพบเจอผู้ที่มีชีพจรสวรรค์มากสุดก็แค่ 98 สายเท่านั้น และไม่ใช่แค่คนเดียว…แต่สิ่งที่ข้าไม่เคยพบเจอเลยก็คือผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สาย…กล่าวไปข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำว่ามีคนที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สายอยู่ด้วย…” นี่เป็นส่วนหนึ่งของข้อความเสียงที่เซี่ยเจี๋ยทิ้งไว้ “ตอนแรกที่ข้าได้ป้ายหยกป้ายนี้มา แม้ตอนแรกที่ข้าหยิบมันขึ้นมาจะมีเสียงลึกลับดังขึ้นในหู แต่ข้าไม่ทราบจริงๆว่าเป็นผู้ใดทิ้งข้อความไว้กันแน่…ทั้งหมดที่ข้ารู้มีเพียงต้องอาศัยผู้ที่มีชีพจรเซียน 99 สายเท่านั้น ถึงจะไขความลับป้ายหยกป้ายนี้ได้…เดิมทีข้าก็ไม่เชื่อหรอกนะเพราะข้าไม่คิดด้วยว่าจะมีคนเช่นนั้นอยู่จริงๆ” “จนกระทั่งข้าได้มาพบเจ้า…ข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้ผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สายในสวรรค์และโลกกลับมีอยู่จริง! เจ้าเป็นตัวตนที่ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีอยู่! กระทั่งในบันทึกของแดนเทพอื่นๆทั้งระนาบเทวโลกใดๆ ข้าก็ไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สายแบบเจ้ามาก่อนเลย…” “เจ้าจงพยายามค้นหาความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในป้ายหยกให้ได้…เพราะป้ายหยกป้ายนี้ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือพี่ใหญ่ก็คิดว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ!” ข้อความเสียงที่เซี่ยเจี๋ยทิ้งไว้ให้มีเพียงเท่านี้ อย่างไรก็ตามแม้เซี่ยเจี๋ยจะไม่ได้ทิ้งข้อความเสียงอธิบายอะไรไปมากกว่านี้ แต่ก็มากพอจะทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ว่า ป้ายหยกเปล่งแสงสีเขียวลี้ลับที่กำลังชะลอความเร็วในการเหินบินลงเรื่อยๆเบื้องหน้า ไม่ใช่ป้ายหยกธรรมดาๆ! อีกทั้งความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในก็สมควรไม่ใช่ความลับเล็กๆน้อยๆแน่นอน!! “มีเพียงผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สาย จึงจะไขความลับภายในป้ายหยกได้เหรอ…ฟังแล้วช่างลึกลับซับซ้อนจริงๆ” ต้วนหลิงเทียนได้แต่ส่ายหัวไปมา สุดท้ายก็หยุดคิดเรื่องราวให้วุ่นวาย เพียงเหินตามป้ายหยกดังกล่าวไปเรื่อยๆ “มันจะพาข้าไปที่ไหนกันแน่นะ…จะเป็นเมืองนั้นจริงๆเหรอเนี่ย?” ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างติดตามป้ายหยกมาไม่ห่าง เมื่อความเร็วของป้ายหยกก็เริ่มลดต่ำลง เขาก็ชะลอความเร็วลง “เลยไปอีกนิดด้านหน้า…เป็นเมืองวายุโปรยแล้วจริงงๆ” หลังเหินร่างติดตามป้ายหยกมาถึงอาณาจักรนภาล่อง ไม่นานเขาก็ติดตามมันจนเหินผ่านเมืองประกายแสง สุดท้ายในที่สุดก็มาถึงเมืองวายุโปรยแห่งนี้… นี่ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าเรื่องราวในโลกช่างลี้ลับนัก เพราะเมืองแห่งนี้เป็นดั่งจุดเริ่มต้นของเขาก็ว่าได้… เพราะเมืองวายุโปรย กล่าวไปแล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตนี้ของเขาจริงๆ!! “หืม? มันหยุดแล้ว?” หลังเหินลอยข้ามเมืองวายุโปรยไปไม่กี่สิบลี้ ป้ายหยกดังกล่าวก็ค่อยๆหยุดลง เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นป้ายหยกดังกล่าวหยุดลง เขาก็หยุดร่างลงกลางหาวตาม และเริ่มมองสำรวจไปรอบๆ คล้ายจะดูว่าที่นี่มันมีอะไรพิเศษ ทว่าทันใดนั้นเอง ซู่มม!! ป้ายหยกพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนที่จะวูบดิ่งลงจากฟากฟ้าด้วยความเร็วปานอัสนีบาตฟาดผ่า! ฟุ่บ! ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างไปดั่งเงา ติดตามป้ายหยกดังกล่าวที่กำลังบินลงไปยังเทือกเขาแห้งแล้งเบื้องล่าง ถึงแม้ว่าแนวเทือกเขาแห่งนี้ จะอยู่ห่างจากเมืองวายุโปรยไม่กี่สิบลี้ แต่เขาก็ไม่เคยมาแถวนี้เลย กระทั่งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครเคยมาที่นี่อีกด้วย สำหรับเหตุผลที่ไฉนไม่มีใครมาแถวนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดี เพราะในขณะที่เขาดิ่งร่างติดตามป้ายหยกลงมาในแนวเทือกเขาแห้งแล้งแถบนี้ เขาก็พบว่า… แนวเทือกเขาแห้งแล้งแถบนี้ เป็นภูมิประเทศอันแร้นแค้นไร้สิ่งใดและเขาส่วนใหญ่ก็เป็นเขาหัวโล้นที่สูงชัน ผนังผาหลายแห่งแทบจะตั้งฉากกับพื้นดิน! อาศัยแค่พลังฝีมืออ่อนด้อยของจอมยุทธ์ในเมืองวายุโปรย ย่อมไม่มีปัญญาจะปีนเขาแถวนี้ได้แน่นอน สำหรับจอมยุทธ์ที่ทรงพลังก็คงไม่มีใครแวะเวียนผ่านมาสถานที่อันแรนแค้นที่กระทั่งวิหกยังไม่อยากแวะเวียนมาขับถ่ายเช่นนี้ เหมือนกับตัวต้วนหลิงเทียนในวันวาน หลังจากที่เขาตั้งตัวได้ในระดับหนึ่งเขาก็เดินทางออกจากเมืองวายุโปรย เพื่อไปยังเมืองประกายแสงทันที น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ คนขวนขวายสู่ที่สูง นี่คือความจริงอันเที่ยงแท้… “นั่นมัน…” หลังต้วนหลิงเทียนเหินร่างติดตามป้ายหยกไปไม่นาน เขาก็มาถึงยอดเขาอันแห้งแล้งแห่งหนึ่ง เพียงมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าบนยอดเขานี้ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย หากทว่าป้ายหยกดังกล่าวกลับหยุดลอยอยู่เหนือหินสีดำก้อนหนึ่ง หินสีดำก้อนนี้แม้ว่ามันจะมีสีเข้มผิดจากหินก้อนอื่นๆบนหุบเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ป้ายหยกลึกลับดังกล่าวลอยล่องอยู่เหนือมันล่ะก็ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรพิเศษเลย… “มันพาข้ามาถึงที่นี่…เพื่อมาเจอหินดำร้ายๆก้อนนี้น่ะเหรอ?” ต้วนหลิงเทียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก อย่างไรก็ตาม แม้จะพูดอะไรไม่ออก แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังก้าวเท้าเดินมาหยุดลงข้างๆหินสีดำก้อนนั้น และก้มลงหยิบมันขึ้นมาอย่างขอไปที เขาอยากจะรู้จริงๆว่าหินสีดำก้อนนี้มันมีอะไรพิเศษกันแน่ ไฉนถึงทำให้ป้ายหยกบังเกิดความเปลี่ยนแปลงและดั้นด้นเหินนำเขามาถึงที่นี่ได้! และทันใดนั้นเอง หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนหยิบหินสีดำดังกล่าวขึ้นมาถือไว้ได้ไม่ทันไร พลันมีเสียงลึกลับหนึ่งดังขึ้นในหู และทันทีที่เสียงดังกล่าวดังขึ้นในหูเขาก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปทันที เพราะเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังอาคมใดๆได้เลย ทำให้สีหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนไปเป็นจริงจัง “ความลับของหินก้อนนี้…มีเพียงผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สายเท่านั้น ที่จะสามารถไขมันได้…” และนี่คือถ้อยคำที่เสียงลึกลับดังกล่าวบอกเขา ‘อาสามเองก็บอกไว้ว่า ตอนที่อาสามหยิบป้ายหยกขึ้นมาครั้งแรก อาสามก็ได้ยินเสียงลึกลับบอกว่า ความลับภายในป้ายหยก…มีเพียงผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สายเท่านั้น ถึงจะไขมันออกได้’ ต้วนหลิงเทียนคิดถึงจุดนี้ก็หันไปมองป้ายหยกที่ลอยล่องตรงหน้าทันที ก่อนที่จะละสายตามามองหินสีดำในมือ ‘ตอนนี้พอข้าหยิบหินดำก้อนนี้ขึ้นมา ก็มีเสียงลึกลับบอกข้าทำนองเดียวกัน ว่ามีเพียงผู้ที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สายเท่านั้นถึงจะไขความลับของมันได้’ ต้วนหลิงเทียนหันมองสลับไปมาระหว่างป้ายหยกที่ลอยล่องอยู่ตรงหน้ากับหินสีดำในมือ แต่เขาก็ไม่พบว่าหินก้อนนี้จะมีอะไรพิเศษอีกนอกจากมีเสียงลึกลับดังขึ้น… เพราะอย่างน้อยป้ายหยกที่ลอยอยู่ตรงหน้า มันก็ยังมีแสงสีเขียวลึกลับเปล่งออกมาตลอดเวลา ทำให้แค่ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา… แต่หินดำนี่เล่า? “หืม?” ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังมองไปยังหินดำในมือด้วยสายตาคล้ายกำลังดูแคลนที่มันไม่มีอะไรพิเศษ เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า… อยู่ดีๆมือที่ถือก้อนหินสีดำของเขา พลันสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนประการหนึ่ง! และในเวลาเดียวกันกับที่หินสีดำเริ่มเปล่งความร้อนออกมา ป้ายหยกที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็เริ่มเปล่งแสงเรืองรองขึ้น!! ทันใดนั้นเองแสงลึกลับดังกล่าวจากป้ายหยกก็เริ่มปกคลุมไปทั่วก้อนหินสีดำในมือเขา! จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า “พี่หิน พี่ชอบตบหน้าผู้คนหรือ…” ต้วนหลิงเทียนได้แต่เผยยิ้มขื่นขมออกมา ถืออยู่ตั้งนานไม่มีอะไรพิเศษ แต่พอคิดว่าไม่มีอะไรเท่านั้นล่ะ… “ไม่ใช่บอกว่ามีแต่คนที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สายจึงจะไขความลับของมันได้หรือไง ข้าเองก็มีชีพจรสวรรค์ 99 สายนี่นา…แล้วต้องไขความลับของพวกมันยังไงล่ะ? ลองถ่ายพลังลงไปก็แล้วแต่ไม่เห็นจะได้เรื่องอะไรเลย?” หลังจากที่ลองจ่ายพลังลงไป แล้วพบว่าหินดำก็ไม่มีอะไรพิเศษเพิ่มเติมอีกเลยนอกจากร้อนขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมาด้วยความฉงนใจ จากนั้นค่อยเอื้อมมืออีกข้าไปยังป้ายหยกที่ลอยล่องอยู่ หมายถือดูแล้วถ่ายพลังลงไปพร้อมๆกัน ทว่าทันใดนั้นเอง! ทันทีที่มือต้วนหลิงเทียนแตะถูกป้ายหยกดังกล่าว! พลันบังเกิดความเปลี่ยนหนึ่งขึ้นอย่างกะทันหัน!! “นี่มันอะไรกัน!?” สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว และเขาอดไม่ได้ที่จะคิดไปด้วยความตื่นตระหนก! เพราะทันทีที่มืออีกข้างของเขาแตะต้องถูกป้ายหยก อยู่ๆทั้งป้ายหยกและหินสีดำ ก็คล้ายจะระเบิดพลังขุมหนึ่งออกมา! และพลังของพวกมันก็ชำแรกแทรกซึมเข้าทั้งมือซ้ายและมือขวาของเขาในฉับพลัน! ทำให้เขารู้สึกตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง! ขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้ชัดเจน… ว่าพลังทั้ง 2 ขุมจากหินดำในมือซ้ายและป้ายหยกในมือขวานั้น ทันทีที่แผ่พุ่งเข้ามา พวกมันก็ชำแรกลงสู่ชีพจรเซียนของเขาทันที และไม่นานก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วชีพจรเซียนทั้ง 99 สายในร่างของเขา! และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนเริ่มตระหนักได้ว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น… เพราะพลังทั้ง 2 ขุมที่ต่างแล่นเข้ามือซ้ายและขวาของเขาและกระจายไปทั่วชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายของเขานั้น จากที่มีความแตกต่างกัน แต่พอเมื่อโคจรมาบรรจบกัน พวกมันก็เริ่มผสานหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างประหลาด! “หยุด…ไม่ให้พวกมันรวมกันไม่ได้เลย?” ในระหว่างกระบวนการหลอมรวมกันของขุมพลังทั้ง 2 ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะยังโคจรพลังของเขาเองในร่างได้ แต่เขากลับไม่อาจหยุดยั้งพลังประหลาดทั้ง 2 ขุมจากหินดำและป้ายหยกได้เลย และไม่ว่าพลังประหลาดทั้ง 2 ขุมจะผ่านพ้นไปที่ใด เขาก็ไม่อาจขัดขวางหรือบังคับควบคุมมันได้แม้แต่เศษเสี้ยว! จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนจึงรับทราบได้ชัดเจน ถึงความแตกต่างระหว่างพลังประหลาดสองขุมกับพลังของเขา! ในขณะที่พลังทั้ง 2 ขุมเจียนหลอมรวมเสร็จสิ้น ต้วนหลิงเทียนที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ในร่างยิ่งมาก็ยิ่งตึงเครียด เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น… แต่ไม่นานเขาก็พบว่า… หลังจากที่พลังทั้ง 2 ขุมหลอมรวมกันเสร็จสิ้นแล้ว พวกมันไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ เพียงแยกย้ายกันหลั่งไหลไปยังมือซ้ายและมือขวาของเขาอย่างเท่าเทียม…พวกมันหวนกลับคืนสู่หินสีดำและป้ายหยก! “ออกไปหมดแล้ว…” เมื่อพบว่าพลังประหลาดในร่างได้หลั่งไหลออกไปจนหมด ต้วนหลิงเทียนก็อดระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ เพราะเขากลัวจริงๆ ว่าพลังทั้ง 2 ขุมที่มาผสานหลอมรวมกันในร่างของเขาจะมีอันตราย! เพราะไม่มีใครบอกเขาได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง หากปล่อยให้พวกมันโคจรไปทั่วร่างของเขาเรื่อยๆ… “หืม?” และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเขาก็พบอีกว่า… ไม่ว่าจะเป็นหินดำในมือซ้ายหรือป้ายหยกในมือขวา ตอนนี้พวกมันต่างพากันเปล่งแสงลึกลับไม่หยุด แสงยังสว่างจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่ทันไรเขาก็สัมผัสได้ว่า พวกมันเริ่มเปล่งพลังไร้สภาพผลักแงะมือของเขาออก! และเมื่อเขาปล่อยมือ ของทั้ง 2 ชิ้นก็เริ่มลอยล่องออกไปจากมือเขา “พวกมัน…จะทำอะไรอีก?!” ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นว่า ก้อนหินสีดำและป้ายหยกสีเขียวที่หลุดออกจากมือเขาไปลอยล่องตรงหน้า ยิ่งมายิ่งเปล่งแสงสวว่างเจิดจ้าปานดวงตะวัน! หลังจากนั้นอยู่ๆพวกมันก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง! ก่อนที่จะพุ่งเข้าหากันและกระทบกันอย่างแรง!!
คอมเม้นต์