War sovereign Soaring The Heavens ตอนที่ 2297
ตอนที่ 2,297 : เมฆมงคลเบญจรงค์! ฟู่มมม!! มวลเพลิงสีทองสว่างเจิดจ้าประหนึ่งดวงตะวัน พุ่งทะยานสู่ฟ้าก่อเส้นแสงสีทองลากยาวขึ้นไปปานจะเชื่อมฟ้าดินด้วยสภาวะอันน่าเกรงขาม! และเมื่อมวลเพลิงสีทองดังกล่าวอยู่ห่างจากจุดที่เมฆหายนะสู่สวรรค์มาบรรจบกันไม่ไกล มวลเพลิงดังกล่าวก็เริ่มก่อลักษณ์กลับกลายไปเป็น วิหกตัวเขื่องที่ประหนึ่งมีเปลวเพลิงสีทองลุกโชนท่วมร่าง!! ทันใดนั้นวิหกเพลิงพลันกระพือปีกฉับไว และก่อนที่ทุกผู้คนจะทันได้รู้สึกตัวอะไร ร่างวิหกเพลิงสีทองตัวเขื่องดังกล่าวก็พุ่งทะลวงเมฆหายนะสู่สวรรค์ดำทะมึน จมหายเข้าแพเมฆดำไปในพริบตาไร้ซึ่งการกระเพื่อมไหวใดๆ ดังหนึ่งหินร่วงหล่นจมสมุทร! “เปลวไฟสีทองนั่น…มันคืออะไรกันแน่!?” “ข้ามิรู้! มันคืออันใดข้าไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ!” “ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลยว่า การเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์สวรรค์จะมีอะไรเช่นนี้ด้วย” “เมื่อครู่พวกเจ้ามองทันหรือไม่ ก่อนที่มวลเพลิงสีทองนั่นจะจมหายไปในเมฆหายนะสู่สวรรค์ ข้าเห็นมันก่อลักษณ์เป็นนกไฟบางอย่าง! แต่ข้ามั่นใจว่าเกิดมามิเคยเห็นนกไฟเช่นนั้นมาก่อน! แล้วพวกเจ้าเล่าเคยมีผู้ใดเห็นมันหรือไม่?” “นกไฟนั่น…ข้าเกิดมาก็มิเคยพบเห็นมาก่อน!” “ข้าเองก็ไม่เคยเห็น” … เปลวเพลิงสีทองที่ลุกโชนท่วมร่างต้วนหลิงเทียน และอยู่ๆก็พุ่งออกจากร่างเขาทะยานขึ้นฟ้า ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นวิหกไฟนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นพลังสุริยันส่วนใหญ่ที่แยกตัวออกมาจากร่างเขา! หากทว่าสำหรับทุกผู้คนในที่นี้แล้วไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ามันคืออะไรกันแน่!! กระทั่งยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า นกไฟสีทอง นั่นที่แท้คือตัวอะไรกันแน่! และไม่ใช่แค่ระดับล่างๆเท่านั้นที่ไม่รู้! กระทั่งชนชั้นอาวุโสระดับสูงๆของ 3 วัง 6 ตำหนักไม่เว้นจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง เองก็ไม่อาจบอกได้เลยว่านกไฟนั่นคือนกอะไรกันแน่! กระทั่งด้านจ้าววังเซียนสัญจร อวี่เหวินฮ่าวเฉิน ที่สงบจิตใจเตรียมข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ ก็ถูกฉากเรื่องราวของพลังสุริยันที่แปรเปลี่ยนไปเป็นวิหกเพลิงสีทองทะยานสู่ใจกลางเมฆหายนะสู่สวรรค์ดึงดูดไปเช่นกัน สำหรับวิหกเพลิงสีทองที่ก่อร่างขึ้นมานั้น เป็นนกอะไรมันก็ไม่รู้เหมือนกัน! อย่างไรก็ตามแต่พอมันเห็นว่าแม้วิหกเพลิงตัวเขื่องนั่นจะจมหายไปในเมฆหายนะสู่สวรรค์ แต่ก็ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆ มันก็ไม่ได้ให้ความสนใจต่อวิหกเพลิงสีทองนั่นอีกต่อไป เพราะมันมีเรื่องสำคัญที่กำลังจะต้องกระทำ… เตรียมตัวข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์! ถึงแม้ว่าในฐานะจ้าววังเซียนสัญจร ตัวมันจะมีความมั่นใจเต็มสิบส่วนในการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ แต่วิธีการที่ถ่ายทอดกันมาในบรรดาจ้าววังเซียนสัญจรจากรุ่นสู่รุ่นนั้น มุ่งเน้นไปกับการรับมือหายนะทัณฑ์สวรรค์ในช่วงหลังๆ! ช่วงแรกๆสำหรับหายนะทัณฑ์สวรรค์ที่ยังไม่รุนแรงมาก มันจำต้องเอาชนะด้วยตัวเอง!! ‘อีกาทองคำ 3 ขางั้นเหรอ!?’ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเปลวไฟสีทองที่ก่อร่างเป็นวิหกเพลิงที่ทะยานสู่ฟ้านั่นคืออะไรกันแน่ หากแต่ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดี หลังจากที่รู้แล้ว เขาเองก็อดประหลาดใจไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามเพียงประหลาดใจได้ไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงบางอย่าง ค่อยระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ‘เกือบลืมไปแล้ว…พลังสุริยันเป็นผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดให้ข้า การที่พลังสุริยันจะก่อลักษณ์เป็นอีกาทองคำ 3 ขาก็ไม่แปลกอะไร’ ‘เพราะสุดท้ายแล้วร่างที่แท้จริงของผู้เฒ่าหั่วก็คืออีกาทองคำ 3 ขา และพลังสุริยันก็เป็นพลังเอกลักษณ์ของ วิหกเทพสุริยัน!’ พอนึกถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมโล่งใจเป็นธรรมดา “ท่านแม่! มันเป็นนกตัวนั้นอีกแล้วล่ะ!!” ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังโล่งใจ เสียงต้วนซือหลิงที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาถึงกับสะดุ้ง อะไรกัน! ซือหลิง รู้จักอีกาทองคำ 3 ขาด้วย? ได้ยังไง?! “ซือหลิง นี่ลูกรู้จักนกตัวนั้นด้วยหรือ?” ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหันมามองถามลูกสาวของเขาด้วยความแปลกใจ “เอ๋า! ท่านพ่อไฉนท่านเลอะเลือนไปแล้วเล่า! ตอนที่ท่านปิดด่านบ่มเพาะ มิใช่ว่าเจ้านกไฟตัวนั้นมันคอยปกป้องท่านหรือไร ทำให้กระทั่งท่านป้ายังไม่อาจปลุกท่านได้…” ต้วนซือหลิงกล่าว “หืม? มันปกป้องข้าหรือ?” ต้วนหลิงเทียนหันไปมองก่านหรูเยี่ยนทันที หลังจากนั้นก่านหรูเยี่ยนกับเผิงไหลที่อยู่ข้างๆ ก็อธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ต้วนหลิงเทียนฟัง ‘ฟังจากที่ทั้งคู่บอก ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว…ตอนนั้นด่านพลังฝึกปรือของข้าสมควรบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน แต่ตอนนั้นมันมีอีกาทองคำ 3 ขาปรากฏร่างขึ้นมาคุ้มครองข้าด้วยงั้นเหรอ?’ ‘ฟังไปแล้วอีกาทองคำ 3 ขาที่ทุกคนได้เห็น…ก็น่าจะเหมือนกันกับอีกาทองคำ 3 ขาตัวเมื่อครู่ ล้วนก่อเกิดขึ้นมาจากพลังสุริยันไม่ต่าง’ ‘ผู้เฒ่าหั่วเองก็ไม่เคยบอกไว้เลย ว่าจะมีเรื่องแบบนี้…’ พอเผลอนึกถึงผู้เฒ่าหั่วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจนถึงบัดนี้ ต้วนหลิงเทียนยังคิดว่าผู้เฒ่าหั่วได้ตกตายไปพร้อมกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อช่วยเหลือเขา “เปลวไฟสีทองนั่น มันพุ่งออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน!” หากจะถามว่า ยังมีผู้ใดอีกบ้างนอกเหนือจากคนรอบกายต้วนหลิงเทียน ที่รู้ว่าเปลวเพลิงสีทองมาจากไหนล่ะก็…ย่อมเป็นจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง! ถึงแม้ตอนนี้ความสนใจของฉีหนานฟงเองก็อยู่กับเมฆหายนะสู่สวรรค์เบื้องบน… อย่างไรก็ตามมันยังคงแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งไปเฝ้าจับตาดูต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ดังนั้นจึงเห็นถึงฉากที่เปลวไฟสีทองลุกท่วมร่างต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะปราฏมวลเพลิงพุ่งขึ้นฟ้าจนกลายร่างเป็นวิหกเพลิงพุ่งหายไปในเมฆหายนะสู่สวรรค์ได้ชัดถนัดตา “นั่นมันคืออะไรกันแน่?!” อย่างไรก็ตามแม้จะสังเกตเห็นฉากเรื่องราวแต่ต้นจนจบ หากแต่ฉีหนานฟงก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่ใช่แค่มันจะเห็นฉากดังกล่าวเป็นครั้งแรก กระทั่งยังไม่เคยได้ยินจากที่ไหนกระทั่งพบเห็นในบันทึกใดๆเลย… “แล้วนกไฟที่ก่อลักษณ์จากเปลวเพลิงสีทองนั่น ที่แท้มันเป็นตัวอะไรกัน?” ฉีหนานฟงลองถามตัวเองดูก็ตอบได้ว่ามันเป็นคนที่มีความรู้ไม่น้อย ทว่ากับเปลวเพลิงสีทองที่สามารถก่อร่างเป็นนกไฟตัวเขื่องแบบนั้น มันไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะสับสนงุนงง กระทั่งสงสัยใคร่รู้นัก หากมันล่วงรู้ล่ะก็… ว่าวิหกเพลิงที่มันแลเห็นนั้น หาใช่สิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ในระนาบโลกียะไม่ หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากระนาบเทวโลก บางทีมันอาจจะไม่สับสนทั้งสงสัยขนาดนี้! “ต้วนหลิงเทียน อีกไม่กี่วันหลังจากนี้เมื่ออวี่เหวินฮ่าวเฉินสามารถข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จล่ะก็ ข้าจะรอดูวาระสุดท้ายของเจ้า!!” หลังดึงสติกลับมาได้ มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ลูกตาฉีหนานฟงก็ฉายแววเย็นชาราวมีดดาบ ประหนึ่งจะสับสะบั้นทุกสิ่งให้แหลกเป็นชิ้นๆ! เรียกว่าหาสายตาของฉีหนานฟงสามารถฆ่าคนได้ ไม่ทราบต้วนหลิงเทียนจะตกตายเพราะสายตามันไปแล้วกี่ครั้ง ต้วนหลิงเทียนเองก็ย่อมสังเกตเห็นสายตาที่จับจ้องมองมาของฉีหนานฟงได้เป็นธรรมดา และเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาจับจ้องของฉีหนานฟง ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะหันไปมองมันตามสัญชาตญาณ แต่ทว่าอยู่ๆร่างต้วนหลิงเทียนก็ผงะไป คล้ายพบเห็นอะไรบางอย่าง “นี่มัน…” วินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนสามารถตระหนักได้ถึงบางสิ่งชัดเจน… ตอนนี้พลังสุริยันบางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ในพลังเซียนต้นกำเนิดของเขา คล้ายสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงประการหนึ่ง ทำให้มันบังเกิดความพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง และพาลให้พลังเซียนต้นกำเนิดในร่างเขากลายเป็นพุ่งพล่านขึ้นมาด้วย! และในขณะที่พลังเซียนต้นกำเนิดในร่างเขากำลังเดือดพล่านไปเพราะพลังสุริยันที่หลงเหลืออยู่ในร่างนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พบว่า… สำนึกรู้ฟ้าดินของเขา…กำลังบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล! เขารู้สึกว่าในเวลาแค่ชั่วพริบตา สำนึกรู้ฟ้าดินของเขาก็ยกระดับขึ้นไปอย่างมากมาย ยังเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด! การพัฒนาด้วยความเร็วแบบนี้ มันช่างเหลือเชื่อเกินจริง และทำให้เขาตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน ‘ต้องเป็นผลพวงจากพลังสุริยันที่ออกจากร่างข้าไปไม่ผิดแน่…นี่มันพุ่งขึ้นไปทำอะไรอยู่กันแน่?’ จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงพลังสุริยันที่พุ่งออกจากร่างก่อนที่จะก่อตัวเป็นอีกาทองคำ 3 ขาแล้วจมหายไปในเมฆหายนะสู่สววรรค์ ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ชัดเจนว่าความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงของสำนึกรู้ฟ้าดินเขา ต้องเกี่ยวข้องกับพลังเซียนสุริยันขุมนั้นอย่างแยกไม่ออก! ‘สำนึกรู้ฟ้าดิน…ยังคงพัฒนาต่อไปไม่หยุดยั้ง!’ ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้อีกว่า สำนึกรู้ฟ้าดินของเขา ยังคงก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และตอนนี้มันก็ได้ทะลวงสู่อีกขอบเขตหนึ่งไปแล้ว… ทุกคราที่สำนึกรู้ฟ้าดินทะลวงขอบเขต ทำให้เขารู้สึกว่าฟ้าดินคล้ายแปรเปลี่ยนกลับกลายไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกๆตัวเขายังคงรู้สึกว่าความเชื่อมโยงระหว่างเขากับฟ้าดินยังคลุมเคลือไม่แน่ชัด ทว่าบัดนี้มันก็กลายเป็นคุ้นเคยและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น… ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมันใหญ่หลวงนัก ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างหน้ากับหลังได้อย่างชัดเจน! และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตระหนักได้ว่าสำนึกรู้ฟ้าดินของเขากำลังก้าวหน้าด้วยความเร็วสูงล้ำนั้นเอง “นั่นมันอะไรกัน…” เหนือขึ้นไปบนฟ้าหลังแพเมฆหายนะสู่สวรรค์ ร่างทั้ง 2 ที่ลอยล่องอยู่ตรงนี้ได้สักพัก ต่างอดไม่ได้ที่จะงุนงงเมื่อได้แลเห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้า… ร่างทั้ง 2 ร่างดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ กับชายชราในชุดสีเทาซึ่งถูกประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์เรียกหาว่า อาจารย์! “ท่านอาจารย์…สิ่งนี้…มันคืออะไรกัน?” ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ที่มองฉากเรื่องราวเบื้องหน้าด้วยสายตางุนงงไม่เข้าใจ ก็อดหันไปมองถามชายชราชุดเทาที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ “ข้าเองก็ไม่รู้…” ทว่าชายชราในชุดสีเทาก็ได้แต่ส่ายหัวไปมากล่าวตอบวว่าไม่รู้ออกมาตรงๆ หากแต่สองตาของมันกลับทอประกายสว่างจ้าราวกับมันเข้าใจบางสิ่ง… ตอนนี้ภายใต้สายตาของประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์และชายชราในชุดสีเทา… ก็จับจ้องไปยังเมฆหลากสีที่ลอยล่องอยู่เหนือเมฆหายนะสู่สวรรค์ทะมึนมืด ที่เมื่อครู่อยู่ๆมันก็แตกกระจัดกระจายออก และตอนนี้กำลังเคลื่อนตัวไปควบรวมปิดช่องโหว่นั่น! และตัวการที่ทำให้เมฆหายนะสู่สวรรค์แยกออกเป็นช่องทางก็ไม่ใช่ใดอื่น เป็นวิหกเพลิงสีทองที่อยู่ๆก็พุ่งทะลวงเมฆหายนะสู่สวรรค์ขึ้นมา! ทั้งประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์และชายชราชุดเทาผู้เป็นอาจารย์ ไม่มีใครรู้จักวิหกเพลิงเบื้องหน้าเลย… พวกมันเองก็พึ่งพบเห็นวิหกเพลิงสีทองประหลาดตัวนี้เป็นครั้งแรก และสิ่งที่ทำให้พวกมันประหลาดใจมากที่สุดก็คือ วิหกเพลิงสีทองตัวนี้ พอพุ่งทะลุเมฆหายนะสู่สวรรค์ขึ้นมา มันก็โผเข้าใส่เมฆหลากสี! อีกทั้งหลังพุ่งเข้าไปภายในเมฆหลากสีแล้ว มันก็บินวนเวียนทะลุไปมาไม่หยุดราวกับจะละเล่นกับเมฆหลากสี!! แต่ต้องทราบด้วยว่าเมฆหลากสีนี้ไม่ใช่เมฆธรรมดาที่มีหลายสีสัน แต่มันคือ ‘เมฆมงคลเบญจรงค์’ ที่จะปรากฏตัวขึ้นหลังผู้ฝึกตนสามารถเอาชนะหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ!! ตามข่าวลือที่มาแต่สมัยโบราณ การถือกำเนิดของเมฆมงคลเบญจรงค์นั้น มีความเกี่ยวข้องกับระนาบเทวโลกอย่างแยกไม่ออก! “นกไฟตัวนี้ที่ก่อร่างขึ้นมาจากเปลวเพลิงสีทองเมื่อครู่…หากข้าสัมผัสไม่ผิด ดูเหมือนเปลวเพลิงสีทองนั่นมันจักเป็นพลังอำนาจที่อยู่เหนือพลังเซียนต้นกำเนิด! ในแง่ของพลังอำนาจแล้วมันไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดแม้แต่น้อย!!” ชายชราที่เหม่อมองวิหกเพลิงหยอกล้อกับเมฆมงคลเบญจรงค์ อดกล่าวพึมพำออกมาไม่ได้ “อะไรนะท่านอาจารย์!?” เสียงพึมพำของชายชราชุดเทา พอประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ยินก็ทำให้มันตื่นตกใจนัก วิหกเพลิงเบื้องหน้า…มันก่อร่างขึ้นมาจากพลังอำนาจที่ไม่ได้ด้อยไปกว่า พลังเซียนอมตะต้นกำเนิด งั้นเหรอ!? หากเป็นคนอื่นพูดเรื่องนี้ออกมา มันไม่มีทางเชื่อ! อย่างไรก็ตาม ผู้ที่พูดเรื่องนี้ออกมากลับเป็นอาจารย์ของมัน ซึ่งในตัวอาจารย์ของมันนั้นก็มีพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเริ่มก่อเกิดขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นมันจึงไม่สงสัยในวาจาของผู้เป็นอาจารย์แม้แต่น้อย เพราะเหตุนี้มันถึงได้ตื่นตกใจ! “มิคิดเลย…ว่าเปลวเพลิงสีทองที่ก่อร่างเป็นนกไฟตัวนี้ จะมาจาก…” ในขณะที่ประมุขเผ่าปีศาจมนุษย์กำลังจะมองลอดเมฆหายนะสู่สวรรค์ไปยังตำแหน่งที่ต้วนหลิงเทียนกำลังลอยร่างอยู่นั้น เปรี๊ยงงงง!! เสียงอัสนีฟ้าลั่นดังสะท้านโลกพลันอุบัติขึ้นอีกครั้ง เป็นเมฆหายนะสู่สวรรค์ที่ควบรวมหนาแน่นนั้น ได้ปลดปล่อยพลังอำนาจออกมาอีกครา อัสนีสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบยิ่งกว่าครั้งใด! ทันใดนั้นเอง! ท่ามกลางอัสนีสีม่วงพลันอุบัติแสงขาวสว่างวาบปานจะย้อมโลกหล้า!!
คอมเม้นต์